เฟร็ด เดิร์สต์ : วีรกรรมโลกไม่ลืมกับตัวตนที่แท้จริงของ ‘หนุ่มหมวกแดง’ แห่ง Limp Bizkit

เฟร็ด เดิร์สต์ : วีรกรรมโลกไม่ลืมกับตัวตนที่แท้จริงของ ‘หนุ่มหมวกแดง’ แห่ง Limp Bizkit

เปิดชีวิต ‘เฟร็ด เดิร์สต์’ (Fred Durst) ฟรอนต์แมนหมวกแดงแห่ง Limp Bizkit กับตัวตนที่แท้จริงเบื้องหลังคาแร็คเตอร์กับวีรกรรม-วีรเกรียนสะท้านวงการ

KEY

POINTS

  • ย้อนชีวิตในวัยเยาว์ของ ‘เฟร็ด เดิร์สต์’ (Fred Durst) ที่หลงใหลในศิลปะกับความทรงจำที่ถูกรังแก
  • การสร้างและสวมบทบาท ‘หนุ่มหมวกแดง’ แห่ง Limp Bizkit เสมือน ‘ไทเลอร์ เดอร์เดน’ จาก Fight Club
  • วีรกรรมและวีรเกรียนอันมากมายของ เฟร็ด เดิร์สต์ ที่โลกยากจะลืม
  • สองสิ่งที่ฟรอนต์แมนสุดแก่นแห่ง Limp Bizkit ไม่เอาด้วย

ย้อนกลับไปเมื่อปลายยุค 90s ได้เกิดหนึ่งในปรากฎการณ์ที่เป็นหมุดหมายของโลกดนตรีขึ้น นั่นก็คือการมาถึงของดนตรีแนวใหม่ ที่มีความดุดันของเมทัลเป็นศูนย์กลางและผนวกแนวต่าง ๆ อาทิ ฟังก์ ฮิปฮอป อินดัสเทรียล และอื่น ๆ เข้าไป กลายเป็นสีสันใหม่อย่าง ‘Nu-Metal’ โดยเมื่อกล่าวถึงวงดนตรี Nu-Metal ที่โลดแล่นบนเวทีโลกได้จับตาน่ามองแล้ว ชื่อของ ‘Limp Bizkit’ วงดนตรีจากแจ็กสันวิลล์ ฟลอริดา ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ ถึงความกระแทกหูกระแทกตา และเผ็ดร้อนโดนใจวัยโจ๋ทั้งด้านผลงานเพลงและตัวตนบนพื้นที่สื่อ

โดยเฉพาะหัวหอกของวงพ่วงตำแหน่งฟรอนต์แมนคาแรกเตอร์จัดจ้านอย่าง ‘เฟร็ด เดิร์สต์’ (Fred Durst) ที่ดูจะเป็นลูกรักลูกชังของสื่ออยู่เสมอด้วยความกวนปนเกรียนของเจ้าตัว คาแรกเตอร์หนุ่มหมวกแดงฝีปากจัดจ้านของเขากลายเป็นที่พูดถึง ทั้งในแง่ชื่นชม และในแง่อย่าเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ซึ่งแม้เจ้าตัวจะยอมรับคำวิจารณ์ไปอย่างมิได้แคร์เท่าไรนัก แต่ก็ได้ตีโต้กระแสแง่ลบอยู่เนือง ๆ ด้วยคำกล่าวเช่น ‘มันก็เป็นเพียงตั

แต่ถ้าหนุ่มหมวกแดงที่ร้องเพลง ‘I did it all for the nookie’ เป็นตัวตนที่สร้างขึ้น แล้วตัวตนที่แท้จริงของชายคนนี้เป็นอย่างไร? นี่คือเรื่องราวก่อนหยิบหมวกนำโชคสีแดงขึ้นสวม จนถึงยุครุ่งเรือง รวมถึงวีรกรรมสุดป่วนของเขา

เด็กนอกคอกผู้รักศิลปะ

วิลเลียม เฟร็ดเดอริก เดิร์สต์’ (William Frederick Durst) เกิดเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 1970 ที่เมืองแจ็กสันวิลล์ ฟลอริดา พ่อแม่ของเฟร็ดแยกทางกันตั้งแต่เขายังเล็ก แอนิตา (Anita) ผู้เป็นแม่จึงต้องเลี้ยงดูเขาเพียงลำพังอย่างยากลำบาก ถึงขั้นลงท้ายด้วยการหอบลูกตระเวนขอทานข้างถนน ก่อนได้รับความอนุเคราะห์จากศาสนบริกรในท้องถิ่น จัดหาห้องใต้หลังคา อาหาร และให้งานแอนิตา เมื่อเฟร็ดอายุได้สองขวบ แอนิตาได้พบรักกับ บิล (Bill Durst) ตำรวจสายตรวจยาเสพติด ทั้งคู่แต่งงานกันแล้วพาเฟร็ด และคอรีย์ (Corey : น้องชายของเฟร็ด ลูกชายของแอนิตากับบิล) ไปใช้ชีวิตที่เชอร์รีวิลล์ ก่อนโยกย้ายไปแกสโตเนีย นอร์ทแคโรไลนา เมื่อเฟร็ดเรียนอยู่เกรดห้า

เฟร็ดหลงใหลในศิลปะหลากแขนงมาตั้งแต่จำความได้ เขารักเสียงดนตรี เมทัลร็อก ฮิปฮอป การแรป กราฟิตี สเก็ตบอร์ด ดีเจ และการเต้นเบรกแดนซ์ จากความทรงจำของเฟร็ด วัยเรียนไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีนัก เมื่อความชื่นชอบที่เขามีต่อวัฒนธรรมคนดำ ทำให้เขากลายเป็นเป้าแห่งการกลั่นแกล้งของเด็กคนอื่น ๆ เฟรดไม่ได้มีตัวตนในโรงเรียนเท่าไร เพื่อนกลุ่มเดียวที่เขามีคือคนที่ถูกบูลลี่เช่นเดียวกับเขา

 

ความคิดสร้างสรรค์ทำให้ผมถูกผลักไส

แต่ผมจะไม่เอาอะไรมาแลกมันเด็ดขาด

 

โลกไม่ได้โหดร้ายกับเด็กชายผู้คิดต่างเกินไปนัก เพราะครอบครัวของเฟร็ดคอยสนับสนุนงานอดิเรกของเขาเสมอ พ่อเลี้ยงของเฟร็ดเปลี่ยนโรงรถเป็นสตูดิโอเบรกแดนซ์ให้เขา ส่วนแม่ตัดชุดให้ทีมเต้นเล็ก ๆ ของเฟร็ดที่ชื่อว่า  ‘The Dynamic 3’ เมื่อเฟร็ดแสดงออกว่าสนใจดนตรี พวกเขาก็ลงทุนซื้อเครื่องบันทึกเสียงเครื่องแรกให้ แม้จะไม่ได้คาดคิดว่าลูกชายของตนจะโด่งดังเป็นพลุแตกในอีกหลายปีถัดมาก็ตาม

เฟร็ดเป็นเด็กหัวขบถไม่น้อย แม้ว่าพ่อเลี้ยงจะรักเขาเท่าลูกในไส้ ทั้งสองก็มองโลกต่างกันคนละขั้ว เฟร็ดดื้อรั้นจนถูกสั่งกักบริเวณให้อยู่แต่ในห้องไปนับครั้งไม่ถ้วน หลังจากจบมัธยมปลายด้วยเกรดค่อนข้างแย่ เขาก็สมัครเข้ากองทัพเรือสหรัฐฯ เพื่อหวังให้พ่อภูมิใจ แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับฝืนใจตัวเองกว่าที่คิด

 

การประจำการกองทัพเรือก็เหมือนกับติดคุก

ผมอยู่ในค่ายฝึก โกนหัวเกรียน แล้วพวกเขาก็ถุยน้ำลายใส่

ผมทำพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต” 

 

พ่วงท้ายด้วยภรรยาที่จะหย่าในภายหลัง และลูกสาวหนึ่งคน เฟร็ดลาออกจากกองทัพแล้วติดสอยห้อยตามพ่อเลี้ยงซึ่งเกษียณจากอาชีพตำรวจแล้ว ไปยังบ้านเกิด แจ็กสันวิลล์ ฟลอริดา เพื่อปลุกไฟฝันครั้งเก่าขึ้นใหม่ โดยระหว่างทางก็ขลุกขลักทุลักทุเลกับการหาเงินเลี้ยงชีพในรูปแบบต่าง ๆ กระทั่งลงเอยด้วยอาชีพช่างสัก ก่อนที่เฟร็ดจะได้พบกับสมาชิกคนอื่น ๆ และกำเนิดวงดนตรีชื่อชวนขันอย่าง ‘Limp Bizkit’ ออกมาวาดลวดลายโดยเริ่มจากเวทีเล็ก ๆ ในเมืองแจ็กสันวิลล์ ก่อนเดโมของวงจะไปกระทบหูค่ายจนได้เซ็นสัญญา นำมาซึ่งการผลิตอัลบั้มออกมาวางจำหน่าย จนกลายเป็นวง Nu-Metal ยอดนิยมอย่างที่เห็นในปัจจุบัน

 

จิตวิญญาณนักขาย สวมบทแฟรงเกนสไตน์

ปั้นหนุ่มหมวกแดงสุดไอคอนิก

อาจกล่าวได้ว่า หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Limp Bizkit มีทุกวันนี้ได้ คือความทะเยอทะยาน อยากดังแบบไม่กลัวอาย สวมจิตวิญญาณนักขายแบบไม่รู้จักย่อท้อของเฟร็ด เดิร์ตส์นี่เอง ในช่วงแรกที่วงเริ่มตั้งไข่ มีคนฟังหน้าเวทีแต่ละงานแค่ไม่กี่สิบ เขาถึงกับใช้ชื่อปลอม สวมรอยเป็นผู้จัดการวงให้ตัวเอง แล้วโทรไปเร่ขายวงให้ค่ายเพลงต่าง ๆ อย่างไม่ยอมแพ้แม้จะถูกปฏิเสธที่แล้วที่เล่า การที่ Limp Bizkit ได้เซ็นสัญญากับค่าย Flip Records ส่วนหนึ่ง ก็เป็นเพราะจิตวิญญาณนักขายและคอนเน็กชันอันกว้างขวางของเขา

เฟร็ดได้เจอกับวง Korn เมื่อวงมาเล่นที่ร้านในเมือง เขาเอ่ยปากชวนสองสมาชิกวง Korn อย่าง ‘ฟิลดี’ (Reginald ‘Fieldy’ Arvizu) มือเบส และ ‘เฮด’ (Brian ‘Head’ Welch) มือกีตาร์พ่วงตำแหน่งร้องนำ ไปสักลายและปาร์ตี้ที่บ้านของตน หลังจากเมากันเต็มคราบพวกเขาก็กลายมาเป็นเพื่อนซี้กัน เมื่อวง Korn มาเล่นที่แจ็กสันวิลล์อีกครั้ง เฟร็ดจึงนำเดโมของวงไปให้พวกเขาฟัง Korn ส่งต่อเดโมให้ ‘รอส โรบินสัน’ (Ross Robinson) โปรดิวเซอร์มือทองของวง และเมื่อรอสได้ฟัง เขาก็ถูกอกถูกใจ นำมาซึ่งการเซ็นสัญญา และออกอัลบั้มชุดแรก อย่าง Three Dollar Bill, Y'all$ (1997) ตามมาด้วยผลงานชุดที่พาให้วงโด่งดังถึงขีดสุด ซึ่งก็คือสองอัลบั้มถัดมา อย่าง Significant Other (1999) และ Chocolate Starfish and the Hot Dog Flavored Water (2000)

เรื่องขาย ๆ ของเฟร็ด เดิร์สต์ ยังไม่จบเพียงเท่านี้ เฟร็ด เดิร์สต์ เป็นประเภทที่รู้ว่าผู้คนชอบอะไร และใช้สิ่งนั้นเป็นกิมมิกในการเขียนเพลง

 

ผมเขียนเพลงจากสิ่งที่ผมรู้สึก

แต่ผมคิดเสมอว่า ผู้คน 95% จะจดจำมันได้ไหม

ถ้าไม่ ผมไม่เขียน

 

อีกหนึ่งจุดขายที่ได้ผลตอบรับอย่างล้นหลาม (ทั้งด้านบวกและลบ) จนกลายเป็นภาพจำของวงก็คือภาพลักษณ์ของเขาเอง - ชายหนุ่มตาสีฟ้า ใส่เสื้อผ้าหลวมโพรกกับหมวกสีแดงกลับหลัง (แม้ปัจจุบันเขาจะ ‘แขวนหมวก’ และเปลี่ยนลุคแล้ว) ผู้มีฝีปากกล้าประหนึ่งเครื่องด่าเดินได้ บุคลิกกวน (ไม่นิด) กร่างหน่อย ๆ นั้นเข้ากับเนื้อเพลงที่เขาแรปได้ดี ทั้งหมดนี้ เฟร็ด เดิร์สต์ได้ให้สัมภาษณ์กับ Metal Hammer ไว้ว่า ‘ผู้ชายหมวกแดงนั่นไม่ใช่ผม มันเป็นคาแรกเตอร์

“เพลงของเราหลายเพลงรุนแรง แต่สารตั้งต้นของมันคือการโต้กลับชีวิตของคนที่ถูกบูลลี่ บางครั้งก็เป็นการสังสรรค์แบบสนุก ๆ โลกเมทัลส่วนใหญ่ไม่เข้าใจเรื่องนั้น พวกเขาคิดกันว่า ‘วงนี้มันอะไรกันวะ นักร้องคนนั้นเป็นอะไรไป เขาทำบ้าอะไรของเขา’ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน! ผมสร้างสัตว์ประหลาด ผมคือด็อกเตอร์แฟรงเกนสไตน์

ผมสร้างตัวตนนี้ขึ้นมา แล้วผู้คนก็อยากสัมภาษณ์ผม อยากให้ผมออกทีวี แล้วค่ายเพลงก็โทรมาบอกว่าเรามีเพลงฮิตบนวิทยุ พวกเขาบอกว่า ‘นายอยากทำหนังนี่ งั้นก็กำกับเอ็มวีสิ’ แล้วผมก็แบบว่า ‘อะไรนะ?!’ แล้วทุกอย่างก็ตามมาเรื่อย ๆ

ถึงจุดหนึ่งผมก็หยุดคิด ‘ผมทำแบบนี้ตลอดเวลาไม่ได้ ผมเป็นไอ้หมอนี่ตลอดไม่ได้ นี่เป็นแค่ตัวตนที่ผมสร้างขึ้น ผมจะให้อาหารมันตลอดได้ยังไง มันไม่ใช่สิ่งที่ผมเป็น 24/7 ชั่วโมง’ แต่เมื่อผมเป็น ‘ไทเลอร์ เดอร์เดน’ (Tyler Durden : ตัวตนที่ตัวเอกหนังเรื่อง Fight Club สร้างขึ้น) มันไม่มีกฎเกณฑ์ มันเหมือนการเสพยา เมื่อฉีดเข็มเข้าเส้น ผมก็ต้องเล่นไป… ไม่เป๊ะนักหรอก เพราะผมไม่เคยเล่นยา แต่มันบ้า ไม่ว่าตัวผมจะไปไหน ผมก็แบกไอ้ตัวตนยักษ์ใหญ่นี่ไปด้วยตลอด

มาย้อนดูกันว่า ‘สัตว์ประหลาด’ หรือ ‘ไทเลอร์ เดอร์เดน’ หรือ ‘ตัวตนยักษ์ใหญ่’ ของเฟร็ด เดิร์สต์ เคยสร้างวีรกรรมอะไรไว้บ้าง

 

วีรกรรมและวีรเกรียน

ขณะที่ Woodstock 1969 คือตำนานแห่งเทศกาลดนตรีที่แบ่งบานด้วยเสียงเพลงและสันติภาพ เทศกาลชื่อเดียวกันที่จัดขึ้นในอีก 30 ปีให้หลัง อย่าง Woodstock '99 กลับตรงกันข้าม จนหลายคนกล่าวขานว่าเป็นเทศกาลแห่งหายนะและความโกลาหล โดยตลอด 4 วันที่เสียงดนตรีกระหน่ำ ได้รวมไว้ทั้งเหตุการณ์เพลิงไหม้ การจราจล การปล้น การทำลายข้าวของ ฯลฯ โดยสังเขปแล้วสาเหตุที่เหล่าคนดูคึกจนคลั่งและก่อความวุ่นวายขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอากาศที่ร้อนจัด และการจัดสรรพื้นที่ สิ่งอำนวยความสะดวก และน้ำที่ไม่เพียงพอต่อจำนวนคนดู ทำให้น้ำและอาหารถูกอัปราคาแพงลิ่ว กล่าวได้ว่าก่อน Limp Bizkit จะขึ้นเล่น ฝูงชนก็หงุดหงิดงุ่นง่านได้ที่อยู่แล้ว แต่เมื่อฝูงชนกระชากไม้ค้ำคานเวทีออกมาเล่น crowd surf เฟร็ด เดิร์สต์แทนที่จะต่อต้านกลับเข้าร่วม

Limp Bizkit ถูกกล่าวหาว่าละเลยความรุนแรงและการล่วงละเมิดทางเพศที่เกิดขึ้นในกระแส mosh pit ล่างเวที และบอกให้คนดู ‘ปลดปล่อยพลังด้านลบออกมา’ ระหว่างแสดงเพลง ‘Break Stuff’ ซึ่งเฟร็ดก็ได้แย้งข้อกล่าวหานั้นว่า

 

ผมไม่เห็นว่ามีคนได้รับบาดเจ็บ

ผมมองจากเวทีสูง 20 ฟุตไปยังทะเลผู้คน

พวกเขาคาดหวังให้ผมเห็นว่ามีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นได้ยังไง?

 

คล้ายคลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 2001 ในเทศกาล Big Day Out ซึ่งจัดขึ้นที่ออสเตรเลีย ที่กระแส Mosh Pit ได้ทวีความคึกคักเกินควรจนคุกกรุ่นเมื่อ Limp Bizkit ขึ้นแสดง เป็นเหตุให้ ‘เจสสิกา มิคาลิก’ (Jessica Michalik) เด็กสาววัย 16 ปีหมดสติท่ามกลางทะเลคน เธอถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลและเสียชีวิตในอีก 5 วันต่อมา ทีมงานฝ่ายผู้จัดระบุว่าเฟร็ดปฏิเสธการให้ความร่วมมือเกลี้ยกล่อมคนดูให้สงบลง ทั้งยังยั่วโทสะและดูถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอีกด้วย

ภายหลังเฟร็ดได้ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุการณ์นี้ว่า “เราบอกว่า ‘แผงกั้นไม่ปลอดภัย คนดูจะคลั่งกัน เพราะงั้นเราไม่เล่น’ พวกเขาตอบ ‘ไม่ นายผิดแล้ว นายต้องเล่น นายเป็นวงหลัก’ เราโต้ ‘ไม่ คุณต้องกั้นแผงกั้นให้ถูก’ แต่โปรโมเตอร์ Big Day Out รอบนั้นหยาบคาย ตำรวจมาหาเราแล้วบอกว่า ‘ถ้าพวกนายไม่เล่นจะเกิดจราจล และถ้าเกิดจราจล เราจะจับพวกนาย’ เมื่อใครสักคนเสียชีวิตในคอนเสิร์ตของคุณ คุณจะแบกรับมันไปตลอด ไม่มีวงดนตรีวงไหนอยากให้เกิดขึ้นหรอก

นับเป็นวีรกรรมฉาวระดับตราบาปซึ่งจะติดตัวเฟร็ดและวงไปนานเท่านาน นอกจากนี้เฟร็ดก็ยังขยันสร้างวีรเกรียนด้วยการปะทะฝีปาก ไม่ก็ขัดแย้งกับเพื่อนร่วมวงการหลายต่อหลายคน อาทิ ปี 2000 เมื่อเขาประกบคริสตินา อากีเลรา (Christina Aguilera) ขึ้นโชว์ในงานประกาศรางวัล MTV Video Music Awards โดยปกติแล้ว เส้นทางระหว่างศิลปินป็อปกับร็อก/ฮิปฮอป นั้นไม่ค่อยโคจรมาบรรจบกันนัก เมื่อแฟน ๆ สงสัยว่าทำไมเขาถึงร่วมงานกับเธอ เดิร์สต์ตอบว่า ‘I did it all for the nookie… ผมอยากได้เธอ แค่นั้นแหละ’ เมื่อคริสตินารู้ข่าว เธอจึงโต้ตอบว่า “นายอยากแอ้มฉันเหรอ เขาไม่ได้แอ้มหรอก เรื่องนั้นไม่ได้เกิดขึ้น” และในปี 2003 เมื่อเฟร็ดยืนยันหนักแน่นว่าตนเคยเดตกับซูเปอร์สตาร์สาวอย่าง บริตนีย์ สเปียร์ (Britney Spears) สาวเจ้ากลับยืนยันหนักแน่นพอกันว่าระหว่างเธอกับเขาไม่เคยมีอะไรในกอไผ่ จนกลายเป็นการโต้ตอบผ่านสื่อแบบ ‘he-says, she-says bullshit’ อยู่พักใหญ่

กับเพื่อนร่วมกระบวนร็อกต่างวงก็ไม่น้อยหน้า เมื่อปี 2000 เฟร็ด เดิร์สต์ เคยแซะสก็อตต์ สแตปป์ (Scott Stapp) นักร้องนำวง Creed ว่าเป็นคนอีโก้สูง โดยที่ทั้งคู่ไม่เคยพูดคุยกันมาก่อนแม้แต่คำเดียว จนถูกท้าชกการกุศลมาแล้ว เฟร็ดไม่ได้รับคำท้าด้วยเหตุผลว่า ‘ไม่อยากใช้ความรุนแรง’ อีกทั้งพ่อหนุ่มหมวกแดงยังเคยแกว่งปากไปเรียกแฟนเพลงของวง Slipknot ว่า ‘พวกเด็กอ้วนโสโครก’ จนคอรีย์ เทย์เลอร์ (Corey Taylor) ลั่นออกไมค์กลางเวทีคอนเสิร์ตว่า

 

“กูจะฆ่ามึง”

 

ไหนจะหนึ่งในเรื่องพิลึกพิลั่นที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์ดนตรีร็อก อย่างเรื่องที่ ‘เอ็ดดี แวน แฮเลน’ (Eddie Van Halen) มือกีตาร์ระดับเทพได้ขับรถถังไปที่บ้านของเฟร็ด เดิร์สต์ และขู่พ่อหนุ่มหมวกแดงของเราด้วยการเอาปืนจ่อหัว! เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อเฟร็ดและ Limp Bizkit ได้เชิญเอ็ดดีไปแจมดนตรีที่บ้านพักย่านเบเวอร์รี่ ฮิลล์ แต่งานกลับกร่อยจนเอ็ดดีรู้สึกเหมือนตัวเองเป็น “นักวิชาการท่ามกลางเด็กอนุบาล” จนในที่สุดทุกคนก็เบนเข็มจากเซสชันแห่งเสียงเพลงไปสู่เหล้ายา เอ็ดดีที่ไม่อินเท่าไหร่จึงขอตัวกลับก่อนได้ลืมเครื่องดนตรีบางชิ้นไว้ที่บ้านของเฟร็ด แต่หลังจากพยายามติดต่อขอเครื่องดนตรีคืนในวันรุ่งขึ้น แรปเปอร์หนุ่มกลับหายต๋อม ไม่หือไม่อือเกิน 24 ชั่วโมงจนเอ็ดดีฟิวส์ขาด จึงขับรถถังพร้อมสะพายปืนไปเอาของเองถึงที่!

เอ็ดดี แวน แฮเลน เล่าถึงช่วงเวลานั้นว่า “ไอ้เวรนั่นมาเปิดประตู ผมจ่อปืนไปที่หมวกแดงโง่ ๆ ของมันแล้วพูดว่า ‘ไอ้ห่า ของกูอยู่ไหน?’ มันถึงได้หันไปตะโกนใส่ลูกน้อง บอกให้ไปเอาของของผมมา

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น วีรเกรียนของฟรอนต์แมนสุดปั่นคนนี้เล่าจนเพลียก็เห็นทีจะไม่หมด อย่างไรก็ตาม แม้จะห่ามห้าวแค่ไหน ก็มีอยู่สองเรื่องที่เกรียนตัวพ่อแห่งโลก Nu-Metal ไม่เอาด้วยเป็นอันขาด

 

เรื่องนี้ป๋าไม่ปลื้ม

เรื่องแรกคือเฟร็ด เดิร์สต์ ไม่เสพยา ส่วนอีกเรื่องคือเขาเกลียดพวกบูลลี่ โดยเฟร็ดเคยเตือน ยัง เกรวี (Yung Gravy) แรปเปอร์หนุ่มผู้เป็นแขกรับเชิญทัวร์ ‘Still Sucks’ เมื่อปี 2022 ว่าอย่าเสพยามากเกินไป ด้านเฟร็ด เดิร์สต์ แม้ที่ผ่านมาจะใช้ชีวิตระห่ำขนาดไหน แต่เจ้าตัวได้เปิดเผยว่าตั้งแต่วัยเด็กยันวัยหนุ่ม ตั้งแต่วัยหนุ่มจนล่วงเลยเข้าวัยป๋า เป็นลุงสุดซ่าวัย 53 ปี เขาไม่เคยเสพยาเลย

ผมไม่ปฏิเสธ ผมตอบตกลงกับทุกอย่าง ผมเป็นแค่เด็กจากฟาร์มในนอร์ท แคโรไลนาที่สงสัยว่าตัวเองมานั่งในห้องทำงานของฮิวจ์ เฮฟเนอร์ (Hugh Hefner) ได้ยังไง ผมไม่เคยปฏิเสธอะไรเลยนอกจากยาเสพติด อย่างอื่น ผมตอบว่า ‘ได้หมด’ ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนชอบผมมาก่อน ดังนั้นเมื่อมีสาว ๆ เข้ามา ต่อให้เป็นแค่ความสัมพันธ์ผิวเผิน ผมก็ตอบรับ ผมบอกว่า ‘เอาเลยหนู!’ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสาว ๆ พวกนี้จะนอนกับผมโดยไม่สนว่าผมน่าเบื่อแค่ไหน ผมแค่ ได้ ได้ ได้หมด กับทุกอย่างจริง ๆ ยกเว้นยาเสพติด

ส่วนเรื่องบูลลี่นั้น เฟร็ดพูดในนามคนที่เคยถูกรังแกมาก่อน “ผมอยากให้เนื้อเพลงของผมมีเพื่อผู้คนที่อาจจะรู้สึกเหมือนผม เพื่อเหยื่อ (การกลั่นแกล้ง) ผมควรจะทำให้มันชัดเจนกว่านี้ เพราะแฟน ๆ บางคนของเราไม่ใช่เหยื่อ แต่เป็นศัตรู เป็นขั้วตรงข้าม เป็นคนที่ผมเกลียด ถ้ามีสักอย่างที่ผมเปลี่ยนแปลงได้ ผมอยากทำให้มันชัดเจนขึ้นว่าผมมาจากไหน พยายามแยกอันธพาลออกจากเหยื่อให้ได้ ชีวิตผมตลกร้ายจนน่าทึ่ง”

แม้กระทั่งหมวกนำโชคของเขาก็ยังกลายเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มคนที่เขาต่อต้าน

ผมเห็นพวกอันธพาลที่ตีความทุกอย่างผิด ๆ ผมเห็นพวกเขาจากบนเวที สวมหมวกแดง ทำร้ายคนอื่น ๆ ที่แค่อยู่ที่นั่นเพื่อสนุก และพวกเขาก็แต่งตัวเหมือนผมเปี๊ยบ! นั่นฆ่าผมได้เลย ผมเก็บมาคิด ผมพยายามสลัดความรู้สึกผิดที่กัดกินมาหลายปีออกไป ผมไม่ได้มีส่วนรับผิดชอบต่อการกระทำของพวกเขา แต่ผมก็ยังรู้สึกแบบนั้น และมันทำร้ายผมสาหัส

แน่นอนว่าเฟร็ด เดิร์สต์ ไม่ได้ดีพร้อม เขาไม่ได้มีแต่ด้านที่ขาวสะอาด ภายใต้หมวกสีแดงที่เขาสวม บางครั้งเขาบ้าคลั่ง บางครั้งเขาห่ามจนบางคนอาจมองว่าหยาบคาย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวตนของเขา และวงดนตรีที่เขาเป็นส่วนหนึ่ง นั้นได้สร้างแรงกระเพื่อมขับเคลื่อนโลกไม่น้อย เมื่อถูกถามว่ารู้สึกอย่างไร ที่ Limp Bizkit กลายเป็นวง ‘คลาสสิก’ ณ ช่วงเวลาที่ถูกสัมภาษณ์ (ปี 2014) เฟร็ด เดิร์สต์ ได้ให้คำตอบไว้อย่างน่าฟัง ว่า

ผมรู้สึกซาบซึ้ง ผมจะปลื้มใจมากเลยถ้ามีคนพูดแบบนั้น เมื่อเราอยู่กลางสงคราม บางครั้งการมองเห็นว่าเราสู้ไปเพื่ออะไรก็เป็นเรื่องยาก แต่เมื่อฝุ่นจางลงแล้ว ผู้คนจะมองกลับไปและตระหนักได้ว่าเรานำความสนุกสนานมาให้ด้วยเจตนาดี และเราเป็นคนที่ใช้ได้ ซึ่งโชคดีได้ทำมันในแบบของตัวเอง นั่นเจ๋งไม่หยอก เราไม่ได้ทำมันอย่างสง่างามเหมือนบางพวก และไม่ได้ทำอย่างไร้สง่าอย่างบางพวก แต่เราก็ยืนหยัด จะดีหรือร้ายเราก็เป็น Limp Bizkit มาเสมอ นั่นคือทั้งหมดที่เราเป็น

 

ภาพ : Getty Images
อ้างอิง :

THE UNTOLD TRUTH OF FRED DURST | Grunge

THE TRUTH ABOUT THE RIOTS AT WOODSTOCK '99 | Grunge

Fred Durst: “There was always a lot of pain in my life” | Louder

What Happened to Limp Bizkit? | Spinditty 

MUSIC: DURST BAG; IS LIMP BIZKIT'S FRED DURST REALLY THE OSAMA BIN LADEN OF RAP METAL? 

No. 1 Son :Bill and Anita Durst have a special reason to follow hot hip-hop/rockers Limp Bizkit - their son Fred is the band's lead singer | Jacksonville.com

The gospel according to Limp Bizkit frontman Fred Durst | Louder 

Limp Bizkit: How Significant Other saw the nu-metal anti-heroes take over the world | Kerrang

How to Succeed in Bizness… By Really, Really Trying: Our 1999 Limp Bizkit Cover Story | Spin

Limp Bizkit’s Fred Durst reflects on growing up in Cherryville and Gastonia | Shelbystar

Durst Dishes Alleged Britney Nookie On Howard Stern Show | MTV

Eddie Van Halen once drove a tank through Beverly Hills to Fred Durst's house and pulled a gun on him | Louder 

Fred Durst Biography, Life, Interesting Facts | SunSigns

Fred Durst: The Limp Bizkit frontman’s 13 weirdest moments | Kerrang 

Whatever Happened To Fred Durst? | Nicki Swift 

“Scott Stapp is an egomaniac, he’s a punk and he thinks he’s Michael Jackson!” Limp Bizkit and Creed once feuded and didn’t stop until Scott Stapp challenged Fred Durst to a boxing match | Louder

Fred Durst warned Yung Gravy about drugs | Missoulian

My Generation - The Limp Bizkit Story ┃ Documentary | RawmusicTV - Youtube