‘เซีย’ (Sia) ศิลปินเจ้าของเพลงดัง ‘Unstoppable’ ผู้ปกปิดเรื่องราวมืดมนไว้ใต้วิกผม

‘เซีย’ (Sia) ศิลปินเจ้าของเพลงดัง ‘Unstoppable’ ผู้ปกปิดเรื่องราวมืดมนไว้ใต้วิกผม

‘เซีย’ (Sia) ศิลปินที่ใช้วิกผมปกปิดใบหน้าจนกลายเป็นภาพจำ แท้จริงแล้วต้องการซ่อนเรื่องราวมืดมนในอดีต

  • ‘เซีย’ (Sia) ศิลปินที่มีเอกลักษณ์ด้วยวิกผมปกปิดใบหน้า จนกลายเป็นภาพจำ
  • การที่คนรักของเธอจากไป ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นชีวิตสุดมืดมนของเธอ
  • ‘Unstoppable’ หนึ่งในบทเพลงให้กำลังใจที่ทรงพลังของเซีย ซึ่งโด่งดังไปทั่วโลกจนถึงทุกวันนี้

นอกจากเพลงฮิตที่ติดหูคนทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น Chandelier, Cheap Thrills, Elastic Heart รวมถึง Unstoppable ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าอีกสิ่งที่ทำให้ ‘เซีย’ (Sia) กลายเป็นที่จดจำคือ ‘ภาพลักษณ์’ ของเธอ ซึ่งมักปรากฏตัวพร้อมวิกผมปกปิดจนไม่เห็นใบหน้า พร้อมกับเสียงร้องอันทรงพลังถ่ายทอดบทเพลงที่ฟังแล้วชวนฮึกเหิม

แท้จริงแล้ว ภายใต้วิกผมที่สีตัดกันชัดเจน คือใบหน้าของหญิงสาวที่เต็มไปด้วยเรื่องราวมืดมนในชีวิต จนหลายครั้งเธอก็เกือบจะยกธงยอมแพ้ แต่สุดท้ายก็สามารถผ่านจุดนั้นมา และได้สร้างบทเพลงที่ให้กำลังใจคนอื่น ๆ จนโด่งดังไปทั่วโลก

ต่อไปนี้คือเรื่องราวการต่อสู้ของ เซีย หนึ่งในศิลปินที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จอย่างสูงในช่วงทศวรรษ 2010 

เด็กสาวผู้ใช้เสียงเพลงเยียวยาจิตใจ 

‘เซีย เคท อิโซเบล เฟอร์เลอร์’ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘เซีย’ (Sia) เกิดที่เมืองแอดิเลด ประเทศออสเตรเลีย เธอเติบโตมาในครอบครัวที่รายล้อมไปด้วยเสียงดนตรี พ่อของเธอเป็นนักดนตรี ส่วนแม่ของเธอเป็นนักร้องและนักแต่งเพลง อีกทั้งยังเป็นครูสอนศิลปะ จึงทำให้เซียกลายเป็นเด็กที่มีความคิดสร้างสรรค์ และโดดเด่นในด้านศิลปะ

ชีวิตของเธอดูเหมือนจะราบรื่น แต่เมื่อเวลาผ่านไป พ่อของเธอได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคสองบุคลิก ทำให้เขามีอารมณ์แปรปรวนและเริ่มหันไปใช้ยาเสพติด จนในที่สุด ครอบครัวของเธอก็ไม่เหมือนเดิม เมื่อพ่อแม่แยกทางกัน 

หลังจากที่ผู้เป็นพ่อเดินออกจากครอบครัว บ้านที่เคยเต็มไปด้วยเสียงเพลงและเสียงหัวเราะ ถูกแทนที่ด้วยความเงียบและโดดเดี่ยว เซียหันไปหมกมุ่นอยู่กับเสียงเพลงในวิทยุ ซึ่งเป็นเพียงอย่างเดียวที่เยียวยาจิตใจเธอได้

เมื่ออายุ 17 ปี เธอได้เข้าร่วมวงดนตรีเป็นครั้งแรก แต่ผ่านไป 4 ปี วงก็ยุติลง เซียในวัย 21 ปี ตัดสินใจย้ายไปที่ลอนดอนเพื่อไปอยู่กับ ‘แดน’ แฟนหนุ่มผู้เป็นรักแรก 

เธอวาดฝันจะสร้างครอบครัวที่มีความสุขเป็นของตัวเอง แต่สุดท้ายเรื่องราวก็ไม่ได้จบลงอย่างที่เธอฝัน และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตอันมืดหม่นของเธอ

ปฐมบทชีวิตสุดขมขื่น 

ในระหว่างที่เซียแวะเปลี่ยนเครื่องที่ประเทศไทยเพื่อเดินทางไปลอนดอน จู่ ๆ เสียงมือถือก็ดังขึ้น เป็นสายจากแม่ของเธอที่โทรมาแจ้งข่าวร้ายว่า แฟนของเธอถูกรถชนเสียชีวิต

เมื่อรู้ว่าแดนเสียชีวิตในวันคล้ายวันเกิดปีที่ 24 ของตัวเอง เซียเสียใจจนแทบขาดสติ และเอาแต่ภาวนาให้เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง 

แต่ในที่สุดเซียก็ไม่อาจหนีความจริงไปได้ และต้องจมอยู่กับความเศร้าโศกกับการจากไปของแดน

เพื่อลืมความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น เซียหันไปพึ่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนัก ก่อนจะเข้าไปคลุกคลีกับยาเสพติด ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นเพื่อนรู้ใจเพียงอย่างเดียวในชีวิตเธอ

กระทั่งเธอเริ่มรู้สึกตัวว่า ความเมามายในแอลกอฮอล์และยาเสพติดไม่อาจลบเลือนความจริงที่เกิดขึ้น เธอจึงตัดสินใจลุกขึ้นมาสู้อีกครั้ง 

เธอเริ่มเข้าร้องคอรัสให้กับวง ‘Jamiroquai’ และร้องให้กับศิลปินดูโอ้อย่าง ‘Zero 7’ จนในปี 1997 จึงได้ออกอัลบั้มในฐานะศิลปินเดี่ยวครั้งแรก ที่ชื่อว่า ‘Onlysee’ ซึ่งขายได้ 1,200 ชุด แม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จมากนัก แต่ก็ทำให้เธอเริ่มมีงานเล่นดนตรีมากขึ้น

ต่อมาในปี 2001 เธอปล่อยอัลบั้มที่สองออกมาในชื่อ ‘Healing Is Difficult’ ที่ผสมผสานระหว่างแนวดนตรีโซลและแจ๊สเข้าด้วยกัน ด้วยเนื้อเพลงที่ถ่ายทอดห้วงอารมณ์ความโศกเศร้าและความเจ็บปวดจากการสูญเสียคนรัก ที่เธอไม่สามารถหลีกหนีจากมันได้ 

ชีวิตเหมือนจะเริ่มกลับมาเข้ารูปเข้ารอย แต่ในปี 2004 ในคืนที่เซียกำลังเขียนเนื้อเพลง เธอกลับรู้สึกว่าตัวเองล้มเหลวและไม่ประสบความสำเร็จ จึงตัดสินใจที่จะจบชีวิตตัวเองด้วยการกินยากดประสาทไป 22 เม็ด พร้อมกับวอดก้าอีก 1 ขวด 

โชคดีที่วิธีนี้ไม่ได้ผล และทำให้เธอแค่สลบไปเท่านั้น 

เมื่อยังไม่เป็นที่ต้องการของมัจจุราช เซียจึงเดินหน้าทำงานเพลงต่อจนคลอดอัลบั้มที่สามออกมาในปีเดียวกัน ในชื่อ ‘Colour the Small One’ ที่มีซิงเกิลดังอย่าง ‘Breathe Me’ ซึ่งเต็มไปด้วยความมืดมน เปล่าเปลี่ยว หดหู่ และเสียงร้องที่กลั่นออกมาจากความโศกเศร้าของเธอ 

ปรากฏว่าเพลงนี้ถูกนำไปใช้ประกอบตอนจบของซีรีส์ ‘Six Feet Under’ ทำให้ชื่อเสียงของเซียเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น โดยมียอดขายมากถึง 1.2 ล้านชุดในสหรัฐอเมริกา

แต่ถึงแม้ว่าเซียจะประสบความสำเร็จและเริ่มมีชื่อเสียง นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้เธอหลุดพ้นออกจากเหวแห่งความมืดมิดได้เลย เซียยังคงหมกมุ่นอยู่กับเหล้าและยาเสพติด รวมถึงยาแก้ปวดและยากดประสาท

กระทั่งเดือนมิถุนายน ปี 2010 ไม่นานหลังจากปล่อยอัลบั้มลำดับที่ห้า ‘We Are Born’ เซียก็จำเป็นต้องยุติการทัวร์ลง เนื่องจากอาการป่วยที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรง รวมถึงการเลิกรากับคนรัก 

ในเวลานี้ เซียเริ่มมีภาวะซึมเศร้า และได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นไบโพลาร์ จนวันหนึ่งเธอตัดสินใจที่จะจบชีวิตตัวเองอีกครั้ง พร้อมกับเตรียมเขียนจดหมายบอกลา 

เป็นอีกครั้งที่มัจจุราชปฏิเสธเธอ เพราะจู่ ๆ เพื่อนคนหนึ่งก็โทรหาเธอ เมื่อเซียรับสาย เพื่อนของเธอพูดว่า ‘Squiddly Diddly Doo’ ซึ่งเป็นประโยคที่เซียเคยพูดตอนที่เธอมีความสุข 

ประโยคที่คุ้นเคยนั้น กลับทำให้เซียได้สติและเริ่มมองเห็นคุณค่าของชีวิต เธอยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้ทำ และโลกกว้างใหญ่ข้างนอกยังมีอะไรมากมายที่รออยู่ เซียตัดสินใจเด็ดขาด ด้วยการทิ้งเฮโรอีนลงชักโครก และเข้ารับการบำบัดผู้ป่วยติดยาเสพติดในวันรุ่งขึ้น 

ชีวิตใหม่

ระหว่างที่เซียเข้ารับการบำบัด ผู้จัดการได้แนะนำให้เธอลองทำงานเบื้องหลังให้กับศิลปินอื่น เซียจึงเริ่มเขียนเพลงให้กับศิลปินชื่อดังมากมาย อย่างบียอนเซ่ , ริฮานน่า, เซลีน ดิออน ฯลฯ 

ปรากฏว่าเพลงที่เธอเขียนให้คนอื่น กลับประสบความสำเร็จมากกว่าเพลงของตัวเอง หลังจากนั้นเธอจึงเริ่มจับทางเพื่อสร้างเพลงของตัวเองให้โดนใจตลาดมากขึ้น จนในปี 2014 จึงได้ปล่อยอัลบั้มชุดที่หก ‘1000 Forms of Fear’ ที่มีเพลงฮิตอย่าง Elastic Heart , Fire Meet Gasoline และ Chandelier ซึ่งเพลงแรกของเธอที่ได้ขึ้นอันดับที่ 8 บนชาร์ตบิลบอร์ด ทำให้เซียโด่งดังและมีชื่อเสียงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

อีกปัจจัยที่หนุนให้เธอเป็นที่รู้จักมากขึ้น คือการให้ ‘แมดดี้ ซีเกลอร์’ (Maddie Ziegler) สาวน้อยผมสั้นสีบลอนด์วัย 11 ปี ปรากฏตัวด้วยการเต้นในมิวสิควิดีโอหลาย ๆ ตัว เพื่อสะกดสายตาคนดูให้อยู่หมัด ในระหว่างที่เซียใช้เสียงทรงพลังของตัวเองประกอบอยู่เบื้องหลัง 

วิกผมที่ใช้ปกปิดตัวตนและเรื่องราวในอดีต

ส่วนตัวของเธอนั้น เลือกที่จะไม่เปิดหน้า แต่ใช้วิกผมสองสีปกปิดใบหน้า เพราะไม่ต้องการให้ใครมาลุกล้ำพื้นที่ส่วนตัว 

“หากใครก็ตามรู้ว่าการเป็นคนมีชื่อเสียงเป็นอย่างไร พวกเขาอาจจะไม่อยากมีชื่อเสียงเลยก็ได้

“ฉันไม่อยากจะถูกวิพากษ์วิจารณ์บนโลกออนไลน์หรอกนะ ฉันเขียนเพลงให้ศิลปินมีชื่อเสียงมามากมาย และฉันก็รู้จักพวกเขาดี มันทำให้ฉันรู้ว่าชีวิตของการเป็นคนมีชื่อเสียงเป็นอย่างไร และนั่นคือสิ่งที่ฉันไม่ต้องการ”

อีกเหตุผลที่เซียต้องปกปิดใบหน้า เพราะเธอไม่ต้องการให้ใครรู้เรื่องราวชีวิต รวมถึงเรื่องที่เธอเคยติดยาเสพติด จึงจำเป็นต้องซ่อนเรื่องราวอันมืดมนไว้ใต้วิกผมอันเป็นภาพจำ

แต่เมื่อเวลาผ่านไป เธอจึงค่อย ๆ เปิดเผยใบหน้า รวมถึงเรื่องราวอันน่าขมขื่นในอดีต เพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจให้กับคนอื่น ๆ 

‘Unstoppable’ บทเพลงสร้างแรงบันดาลใจ

ในปี 2016 เซียปล่อยซิงเกิลเพลงดังอีกหนึ่งเพลงอย่าง ‘Unstoppable’ เพื่อโปรโมทอัลบั้มลำดับที่เจ็ด ที่ร่วมเขียนกับ ‘คริสโตเฟอร์ เบรด’ (Christopher Braide) และโปรดิวซ์โดย ‘เจสซี แชตคิน’ (Jesse Shatkin) 

เนื้อเพลง Unstoppable เต็มไปด้วยความความเชื่อมั่นในตนเอง กล้าลงมือทำ บวกกับเสียงกลองดังลั่นที่ช่วยให้ฮึกเหิม เพิ่มพลังให้กับเพลงมากยิ่งขึ้น 

เพลง Unstoppable ถูกเขียนขึ้นในช่วงเวลาที่เธอต้องสู้กับปัญหารุมเร้า ก่อนจะผ่านพ้นไปได้ 

เซียเคยให้สัมภาษณ์กับบิลบอร์ดว่า “บางครั้งคุณแค่ต้องการความกล้าหาญเพื่อที่จะจดจำว่าคุณเป็นใคร และกล้าพอที่จะใช้ชีวิต” 

ด้วยเนื้อหาของเพลงที่สร้างกำลังใจให้กับทุกคน ทำให้เพลงนี้ถูกนำไปใช้ประกอบแคมเปญโฆษณาสำหรับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ปี 2016 ที่มีนักกีฬาชื่อดังอย่างเนย์มาร์, แอชตัน อีตัน, หนิง เซทา และแอนดี้ เทนแนนต์

ต่อมาในปี 2019 ยังถูกนำไปประกอบโฆษณาน้ำหอม ‘Lancome’ ที่แสดงโดย ‘เซนดายา’ (Zendaya) เพื่อแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งแต่ยังคงไว้ซึ่งความอ่อนโยนของผู้หญิง 

ไม่เพียงแค่นั้น Unstoppable ยังกลับมาเป็นกระแสอีกครั้งในปี 2022 บนแพลตฟอร์ม TikTok ที่ไม่ว่าจะนำไปใช้กับคลิปวิดีโอใดก็ตาม ก็ดูจะเข้ากันไปเสียหมด แถมยังถูกนำไปประกอบโฆษณามือถือ Galaxy S22 Ultra ของ Samsung ด้วยความสำเร็จนี้เอง จนทำให้ในเดือนกรกฎาคม ปี 2022 เพลงนี้จึงติดชาร์ต Billboard Hot 100 เป็นครั้งแรก

เพลง Unstoppable ทำหน้าที่สร้างกำลังใจให้ผู้คนอย่างไร้กาลเวลา แม้ว่าจะผ่านไปกี่ปีต่อกี่ปี คนฟังก็มักเปิดเพลงนี้ฟังอยู่เสมอในยามที่ท้อแท้ จึงทำให้เพลงกลับมาเป็นกระแสอยู่บ่อยครั้ง 

แต่อีกด้านหนึ่งเพลงนี้ก็ได้บอกเล่าเรื่องราวการก้าวผ่านความเจ็บปวดของเซีย ซึ่งทำให้พวกเราเห็นว่า “หากเธอสามารถก้าวอดีตอันโหดร้ายมาได้ คุณก็สามารถผ่านปัญหาต่าง ๆ ไปได้เช่นกัน” 

 

เรื่อง : กรัณย์กร วุฒิชัยวงศ์ (The People Junior)

ภาพ : Getty Images

อ้างอิง :

Sia biography

Here's why Sia hides her face with wigs and bows

Who Is Sia?

Here's why Sia hides her face with wigs and bows

TRAGIC DETAILS ABOUT SIA

Sia proves it’s never too late to be happy and successful, and the only love you need is from yourself

The Dark Truth Why Sia Is Hiding Behind A Mask