09 ก.ย. 2568 | 15:01 น.
KEY
POINTS
จากเด็กเลี้ยงควาย มาเป็นเด็กวัด เด็กเชียร์รำวง รับจ้างปะยางจักรยาน ช่างตัดผม บุรุษไปรษณีย์ เซลล์แมน นักเพลงพื้นบ้าน ครูสอนภาษาไทย ไปจนถึงเลขาศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดกาญจนบุรี
เส้นทางชีวิตของ ‘ศิวกานท์ ปทุมสูติ’ กว่าจะเป็น ‘กวีซีไรต์ 2568’ ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ตรงกันข้าม เป็นเส้นทางที่โรยด้วยหนามกุหลาบ
กว่าจะฝ่าฟันอุปสรรคของชีวิต มิใช่เด็กที่จบการศึกษาในระบบ แต่เป็นผู้เรียนการศึกษานอกระบบ และเรียนรู้ด้วยตัวเองตลอดมา
หลังเรียนจบครูจากวิทยาลัยครูสวนสุนันทา เขาบรรจุเป็นครูที่ราชบุรี ก่อนจะย้ายมาที่สุพรรณ ไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี ถึง พ.ศ. 2547 และลาออกจากราชการในตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์
ก่อตั้ง ‘ทุ่งสักอาศรม’ โครงการโรงเรียนกวี ตั้งแต่ปี 2549 ตราบจนปัจจุบัน โดยนำรายได้จากการขายหนังสือตั้งเป็น ‘กองทุนทุ่งสักอาศรม’ เพื่อเด็ก ๆ ให้อ่านออกเขียนได้
ผลงานชิ้นโบแดงคือ ‘เด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้แก้ง่ายนิดเดียว’ งานเขียนที่ได้รับการยอมรับของครูภาษาไทยทั่วฟ้าเมืองไทย จนได้รับการพิมพ์ซ้ำกว่า 16 ครั้ง
อีกหนึ่งผลงานซึ่งเป็นที่ประจักษ์ของ ศิวกานท์ ปทุมสูติ ก็คือ ‘การแต่งเพลง’
อัลบั้ม ‘กราบแผ่นดิน’ ชุด 1 และ 2 ขับร้องโดย ‘ชินกร ไกรลาศ’ รวมถึงงานเพลงอื่น ๆ ที่แต่งให้ ชินกร ไกรลาศ ขับร้องในชุดต่าง ๆ อีกจำนวนมาก
ส่วนงานเพลงที่โด่งดังที่สุดของ ศิวกานท์ ปทุมสูติ ที่ถือเป็น ‘เพลงชาติของนักดื่ม’ ก็คือ ‘สหายสุรา’ เพลงฮิตจากอัลบั้ม ‘ลมใต้ปีก’ ของ ‘คฑาวุธ ทองไทย’ หรือ ‘ไข่ มาลีฮวนน่า’
ที่ต่อมาเปลี่ยนชื่อชุดเป็น ‘ลัง’ และเปลี่ยนเป็นผลงานของวง ‘มาลีฮวนน่า’ โดยมีเพลง ‘รอยทาง’ ที่เป็นผลงานการประพันธ์ของ ศิวกานท์ ปทุมสูติ อีก 1 เพลง
ศิวกานท์ ปทุมสูติ มีผลงานกวีนิพนธ์เข้ารอบสุดท้าย ‘รางวัลซีไรต์’ รวม 9 เล่ม ได้แก่
1. บทกวีร่วมสมัย
2. สร้อยสันติภาพ
3. ครอบครัวดวงตะวัน
4. ต่างต้องการความหมายของพื้นที่
5. เมฆาจาริก
6. ทางจักรา
7. ด้วยก้าวของเราเอง
8. นาฏกรรมจำนรรจ์
9. อีกฟากด้านกระดานหก
และเป็น ‘อีกฟากด้านกระดานหก’ ที่ประสบความสำเร็จคว้ารางวัล ‘ซีไรต์’ ประจำปี 2568 จากที่พากเพียรส่งประกวดตั้งแต่ปี 2529 เป็นต้นมา หรือกว่า 40 ปีแห่งความพยายาม
“คณะกรรมการตัดสินรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ประจำปี 2568 ได้พิจารณาแล้ว มีความเห็นว่า กวีนิพนธ์เรื่อง อีกฟากด้านกระดานหก ของศิวกานท์ ปทุมสูติ จัดพิมพ์โดย โรงเรียนกวีทุ่งสักอาศรม มีความโดดเด่นในด้านการนำเสนอแนวคิดที่รื้อสร้างมุมมองเกี่ยวกับความแตกต่างของช่วงวัย ชนชั้น และอุดมการณ์ ฉายภาพการต่อสู้ทางวาทกรรมและอำนาจซึ่งแทรกซึมอยู่ในทุกระดับทั้งสังคมไทยและสังคมโลกผ่านสัญลักษณ์ กระดานหก เพื่อกระตุ้นให้ผู้อ่านมองโลกอีกด้านหนึ่งที่แปลกต่างจากกรอบความคิดเดิม
กวีสืบทอดขนบทางวรรณศิลป์และสร้างสรรค์ใหม่ ใช้ลีลาร้อยกรองหลากหลาย เพื่อสะท้อนภาพสังคมปัจจุบัน ด้วยกลวิธีนำเสนอทั้งแบบมีเรื่องเล่าและแบบตั้งคำถามให้คิด ผสานท่วงทำนองกวีโบราณและร่วมสมัย ใช้ทั้งศัพท์โบราณ ภาษาถิ่น และภาษาพูดเพื่อสร้างวรรณศิลป์อันมีลักษณะเฉพาะตน
คณะกรรมการตัดสินจึงมีมติให้ กวีนิพนธ์เรื่อง อีกฟากด้านกระดานหก ของ ศิวกานท์ ปทุมสูติ ได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ประจำปี 2568”
คำประกาศผลการตัดสินรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน ประจำปี 2568 (S.E.A. Write Award 2025) ประเภทกวีนิพนธ์
บทกวีคือชีวิต
“ยังเขียนอยู่ ไม่อาจเลิกเขียน เราทำจนกระทั่งมันเป็นเช่นนั้น มันเดินทางไปกับเราตลอดเวลา เป็นหนึ่งเดียวกับชีวิต ถ้อยคำทุกถ้อยคำที่ทิ้งไว้เป็นรอยของตัวเอง เราได้กลับมาเรียนรู้ เห็นความหมายที่ใช่และไม่ใช่ ทำให้เราได้ก้าวไปในทางที่เราเชื่อว่าถูกต้อง
“การเขียนบทกวีเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ แต่ความผิดพลาดก็เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ด้วยเช่นกัน ดังสุภาษิตที่ว่า ‘ผิดเป็นครู’ เมื่อพบครูแล้วก็น้อมรับความเปลี่ยนแปลงของความคิดที่จะเกิดขึ้นทุกเมื่อ” บทสัมภาษณ์ในรายการ Coming to Talk เผยแพร่ทาง TK Podcast เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2561
ผลงานโดยรวมของ ศิวกานท์ ปทุมสูติ มักตั้งคำถามต่อโครงสร้างทางสังคม และสะท้อนความไม่สมดุลระหว่างมนุษย์กับอำนาจ เช่น รัฐกับประชาชน หรืออดีตกับปัจจุบัน โดยใช้ภาพเปรียบเทียบที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง เช่น กระดานหก ที่สื่อถึงความไม่เท่าเทียมและการต่อรองในชีวิต
เขามักขับเน้นเสียงของผู้ไร้อำนาจ ยกเรื่องราวของผู้ถูกกดขี่ ชนชั้นแรงงาน คนชายขอบ มาเป็นศูนย์กลางของบทกวี ด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและปลุกเร้าให้ผู้อ่านตระหนักถึงคุณค่าความดีและความเป็นมนุษย์
นอกจากนี้ ศิวกานท์ ยังลงลึกในเรื่องธรรมะและความรู้สึกของปัจเจก ด้วยการผสานแนวคิดทางธรรมะเข้ากับงานเขียนอย่างแยบยล ไม่ใช่เพื่อเทศนา แต่เพื่อชวนให้ครุ่นคิดถึงความเปลี่ยนแปลงภายใน เช่น การละวาง การยอมรับ และการเรียนรู้จากความผิดพลาด
งานเขียนโดยองค์รวมของ ศิวกานท์ ปทุมสูติ มีการใช้ภาษาและการวางโครงสร้างที่เป็นเอกลักษณ์ เขาได้ชื่อว่าเป็นคนที่มีภาษาคมคายแต่ไม่ฟุ่มเฟือย ใช้ถ้อยคำที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง มีจังหวะที่พอดี ไม่เร่งเร้าเกินไป และไม่ประดับประดาจนเกินจำเป็น ทำให้ผู้อ่านรู้สึกใกล้ชิดกับเนื้อหาอย่างเป็นธรรมชาติ
แม้จะยึดฉันทลักษณ์ตามขนบในหลายบท แต่ศิวกานท์ก็ไม่กลัวที่จะทดลองเชิงรูปแบบที่หลากหลาย เช่น การใช้เรื่องเล่าแบบกึ่งเรื่องสั้น หรือการผูกปมให้ติดตามเหมือนวรรณกรรมร้อยแก้ว
สำหรับเขา การเขียนไม่ใช่แค่กิจกรรม หรือการงาน แต่เป็นการยืนยันการดำรงอยู่ของชีวิต ศิวกานท์ มองว่า ‘กวี’ คือ ‘ผู้สร้าง’ และ ‘ผู้เรียนรู้’ เขาเชื่อว่าบทกวีคือการทำให้สิ่งที่ไม่ปรากฏ ได้ปรากฏขึ้นมา เป็นการรังสรรค์ความรู้และความหมายใหม่ ๆ
ไม่เพียงเขียนเพื่อสื่อสาร แต่เพื่อเรียนรู้และเปลี่ยนแปลงตนเอง เช่นในบทกวีที่ตั้งคำถามต่อระบบการศึกษาไทยที่ทำให้ “ลูกไปแล้วไปลับไม่กลับมา”
ศิวกานท์ ปทุมสูติ เกิดเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ปี พ.ศ. 2496 ณ บ้านวังหลุมพอง ตำบลจรเข้สามพัน อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เติบโตในครอบครัวเกษตรกรรม ใช้ชีวิตวัยเด็กท่ามกลางธรรมชาติ ท้องนา ป่าเขา และวัฒนธรรมพื้นบ้าน
หลังจบ ป.4 ไม่ได้เรียนต่อ เพราะต้องช่วยพ่อแม่ทำไร่ไถนา และเลี้ยงควาย ทำให้ต้องขวนขวายฝึกฝนทักษะต่าง ๆ ด้วยตนเอง เช่น ตัดผม ปะยางรถ และร้องเพลงพื้นบ้าน เช่น เพลงอีแซว เพลงพวงมาลัย
ศิวกานท์ เริ่มเขียนบทกวีเมื่ออายุประมาณ 17 ปี โดยได้รับแรงบันดาลใจจาก ‘ครูสนาม ธนสังข์’ ที่โรงเรียนดรุณวิทย์ จังหวัดภูเก็ต ผลงานชิ้นแรกได้รับการตีพิมพ์ลงในนิตยสาร ‘มหาราษฎร์’ ปี พ.ศ. 2515 และต่อมาก็มีผลงานลงตีพิมพ์อย่างต่อเนื่อง อาทิ ไทยรัฐ วิทยาสาร ชัยพฤกษ์ และสตรีสาร จนถึงปัจจุบันมีผลงานกวีนิพนธ์ตีพิมพ์แล้วกว่า 40 เล่ม
ในวงการวรรณกรรมไทย ชื่อของ ศิวกานท์ ปทุมสูติ จึงเปรียบเสมือนเสียงสะท้อนของยุคสมัยที่ไม่เคยเงียบงัน เขาไม่ใช่เพียงเป็น ‘กวี’ หากแต่เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้สึก ความคิด และความจริงของชีวิตผ่านถ้อยคำที่ลึกซึ้งและทรงพลัง
ศิวกานท์ เติบโตมาในยุคที่สังคมไทยกำลังเปลี่ยนผ่าน ทั้งในด้านการเมือง วัฒนธรรม และความคิด เขาเริ่มต้นเส้นทางวรรณกรรมด้วยความหลงใหลในภาษาไทยและบทกวีที่สามารถสื่อสารความรู้สึกได้อย่างลึกซึ้ง ผลงานช่วงแรกของเขาแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการใช้ภาษาที่เรียบง่ายแต่กินใจ และมักสะท้อนภาพชีวิตของคนธรรมดาในสังคมอย่างจริงแท้
หนึ่งในอัตลักษณ์ของ ศิวกานท์ คือการใช้บทกวีเป็นเครื่องมือในการตั้งคำถามต่อสังคม เขาไม่กลัวที่จะพูดถึงความเจ็บปวด ความไม่เป็นธรรม หรือความเปราะบางของมนุษย์ ผลงานของเขาจึงมักมีน้ำเสียงที่จริงใจและตรงไปตรงมา โดยไม่ประดับประดาด้วยถ้อยคำฟุ่มเฟือย แต่กลับเต็มไปด้วยพลังของความหมาย
ตัวอย่างเช่นในบทกวีที่เขาเขียนถึงแรงงาน หรือผู้ถูกกดขี่ในสังคม เขามักใช้ภาพธรรมดา เช่น ‘มือหยาบกร้าน’ หรือ ‘เหงื่อที่ไหลริน’ เพื่อสื่อถึงศักดิ์ศรีของมนุษย์ที่ไม่ควรถูกมองข้าม
ศิวกานท์ ไม่เพียงแต่เขียนเพื่อสื่อสาร หากยังเขียนเพื่อครุ่นคิด เขาเชื่อว่าบทกวีไม่ใช่เพียงศิลปะของถ้อยคำ แต่เป็นพื้นที่ของการตั้งคำถาม การค้นหาความหมาย และการเข้าใจตนเอง ผลงานของเขาหลายชิ้นจึงมีลักษณะใคร่ครวญ เงียบสงบ และเปิดพื้นที่ให้ผู้อ่านได้ตีความด้วยตนเอง
นอกจากเป็น กวี แล้ว ศิวกานท์ ยังมีบทบาทสำคัญในวงการวรรณกรรมไทย เขาเคยเป็นบรรณาธิการ นักวิจารณ์ และผู้ส่งเสริมการอ่านในระดับต่าง ๆ โดยเฉพาะการผลักดันให้บทกวีไทยร่วมสมัยมีพื้นที่ในสื่อและสังคมมากขึ้น เขาเชื่อว่ากวีไม่ควรอยู่เพียงในห้องเรียนหรือหนังสือ หากควรเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน
แม้เวลาจะผ่านไปหลายทศวรรษ ผลงานของ ศิวกานท์ ปทุมสูติ ยังคงมีอิทธิพลต่อกวีรุ่นใหม่และผู้อ่านทั่วไป เขาเป็นตัวอย่างของผู้ที่ใช้ภาษาไทยอย่างมีชีวิตชีวา และแสดงให้เห็นว่าบทกวีสามารถเป็นทั้งศิลปะและเครื่องมือของการเปลี่ยนแปลง
ไม่เพียงเป็น กวี แต่เขายังเป็นนักเคลื่อนไหวทางวัฒนธรรม ศิวกานท์ มีบทบาทในการส่งเสริมวรรณกรรมพื้นบ้าน การอนุรักษ์ภาษาไทย และการสร้างพื้นที่ให้เยาวชนได้แสดงออกผ่านงานเขียน เขาเชื่อว่ากวีไม่ควรอยู่แต่ในหอคอยงาช้าง แต่ควรลงมาสัมผัสชีวิตจริงของผู้คน
เขายังเป็นผู้ริเริ่มกิจกรรม ‘กวีเดินดิน’ ที่นำบทกวีไปสู่ชุมชนต่าง ๆ ทั้งในชนบทและเมือง เพื่อให้วรรณกรรมเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ไกลตัว
นอกจากนี้ ศิวกานท์ ยังเป็นนักการศึกษาผู้มีบทบาทในการส่งเสริมการเรียนรู้ทางเลือก เขาก่อตั้ง ‘โรงเรียนกวีทุ่งสักอาศรม’ ซึ่งเป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ผ่านวรรณกรรมและการใช้ชีวิตอย่างมีสติ โรงเรียนแห่งนี้ไม่เพียงสอนการเขียนกวี แต่ยังปลูกฝังแนวคิดเรื่องความงาม ความดี และความจริงในชีวิต
เขาเชื่อว่าการศึกษาไม่ควรจำกัดอยู่แค่ในห้องเรียน แต่ควรเป็นการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงกับชีวิตจริง และวรรณกรรมคือเครื่องมือสำคัญในการเปิดใจและเปิดโลกของผู้เรียน
นอกจากการสร้างสรรค์ผลงาน ‘กวีนิพนธ์’ แล้ว ศิวกานท์ ปทุมสูติ ยังได้เปิดประตูบานใหม่ด้วย การสร้างสรรค์ผลงานกวีในภาพวาด พร้อม ๆ ไปกับสร้างสรรค์งานจิตรกรรมสะท้อนความคิด ชีวิต และสังคมอีกทางหนึ่งด้วย
โดยได้เผยแพร่ผ่านทาง https://www.facebook.com/tungsakasome ของเขาซึ่งผู้อ่านที่ติดตาม ผลงานของเขาจะได้พบได้อ่านกันอยู่เนือง ๆ
ศิวกานท์ ปทุมสูติ คือ กวี ผู้เดินทางจากท้องทุ่งสู่เวทีวรรณกรรมไทย ด้วยหัวใจที่เปี่ยมด้วยความรักในภาษาและความจริงของชีวิต เขาไม่เพียงสร้างสรรค์บทกวีที่งดงาม แต่ยังสร้างพื้นที่แห่งการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงวรรณกรรมกับชีวิตจริงอย่างลึกซึ้ง
แม้ว่า ศิวกานท์ ปทุมสูติ จะย่างก้าวเข้าสู่เลข 7 แต่ กวีนิพนธ์ ของเขายังคงปรากฏต่อสาธารณะอย่างต่อเนื่อง แม้ในระยะหลังความถี่ของผลงานตีพิมพ์ในหน้านิตยสารและสื่อสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ จะลดลง ทว่าเขายังคงมุ่งมั่นให้ความสำคัญกับคุณค่าของงานเขียนหนังสือเล่ม ที่สร้างสรรค์ความแปลกใหม่ให้กับงานเขียนของตนอยู่เสมอ
ผลงานของเขาเป็นเครื่องยืนยันว่า กวี มิใช่เพียงผู้เขียนโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน แต่คือผู้จุดประกายความคิด นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางสังคม และปลุกเร้าจิตวิญญาณของมนุษย์ให้ตื่นรู้ในความงาม ความดี และความจริงตลอดไป
เรื่อง: ดร.จักรกฤษณ์ สิริริน
ภาพ: กรุงเทพธุรกิจ