15 ธ.ค. 2568 | 16:00 น.

นั่นคือหัวใจที่ทำให้ คุณกานติมา เลอเลิศยุติธรรม รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านธุรกิจองค์กร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS ได้รับรางวัลระดับโลกอย่าง Female Thought Leader of the Year สาขา Business Services จากเวที The Stevie Awards for Women in Business 2025 เป็นคนแรกของประเทศไทย
รางวัลนี้ไม่ได้มอบให้เพราะความเก่งกาจทางธุรกิจเท่านั้น แต่เป็นเครื่องยืนยันว่าวิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อน ‘คน’ และ ‘ความเท่าเทียม’ ได้กลายเป็นมาตรฐานที่ถูกยอมรับในระดับสากล และสะท้อนภาพความเป็นผู้นำทางความคิดที่มองทะลุเกินกว่าตัวเลขกำไร
ในฐานะผู้บริหารในองค์กรที่ต้องเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีตลอดเวลา คุณกานติมามองว่าการพัฒนา ‘คน’ คือ ทรัพยากรที่มีมูลค่าสูงที่สุดในยุคดิจิทัล ไม่ใช่เทคโนโลยี เพราะเทคโนโลยีอาจมีวันล้าสมัย แต่หากคนล้าสมัยเมื่อไร องค์กรจะไปต่อไม่ได้
“การลงทุนในคนไม่เหมือนการลงทุนในเทคโนโลยี เพราะเทคโนโลยีที่ล้าสมัยก็เอาของใหม่เข้ามาแทนได้ แต่ถ้าคนล้าสมัยเมื่อไรองค์กรแย่เลย เพราะต้องรับคนใหม่ที่อาจจะขาดประสบการณ์ ดังนั้น คนจึงเป็นศิลปะที่มีทั้งประสบการณ์และความสามารถ”
นี่จึงเป็นที่มาของยุทธศาสตร์การพัฒนาคนในแบบฉบับของ AIS คือ โมเดล 50/50
50% แรก AIS ให้โอกาสในการเข้าถึงองค์ความรู้และโอกาส โดยห้องสมุดและระบบเรียนรู้ต่าง ๆ สามารถเข้าถึงได้ผ่านมือถือ และ 50% หลัง เป็นสิ่งที่พนักงานต้องรับผิดชอบตัวเองในการพัฒนาตัวเอง เพราะ AIS ไม่เชื่อเรื่องชะตากรรม และไม่เชื่อเรื่องการอุปถัมภ์เพียงอย่างเดียว เพราะการอุปถัมภ์จะทำให้พนักงานไม่แข็งแรง
"เราไม่เชื่อเรื่องชะตากรรม เราเชื่อเรื่องคนที่จะลุกขึ้นมากำชะตาของตัวเอง"
การสรรหาทาเลนต์ (Talent) หรือบุคลากรที่มีศักยภาพสูงในองค์กร ก็ถูกออกแบบตามหลักการนี้ ไม่ใช่การอุปถัมภ์หรือการที่ผู้บริหารเลือกลูกน้องที่คล้ายตนเองเหมือนในอดีต
“การอุปถัมภ์อย่างเดียวทำให้เขาไม่แข็งแรง”
ทาเลนท์ที่ AIS มาจากการที่พนักงานเดินมาสมัครด้วยตัวเอง และต้องพิสูจน์ศักยภาพต่อ คณะกรรมการกลาง ซึ่งประกอบด้วยคนจากทั้งภายในและภายนอกองค์กร เพื่อให้มั่นใจว่าได้มาตรฐานที่แท้จริง การทำเช่นนี้เป็นสิ่งสำคัญเพราะในอดีตองค์กรหลายแห่งอ่อนแอลงไปเรื่อย ๆ เมื่อผู้บริหารเลือกคนที่คล้ายตัวเอง หรือคนที่ว่าง่าย แต่ AIS ต้องการมั่นใจว่าได้คนมีศักยภาพที่แท้จริงเข้ามาร่วมพัฒนา
เพื่อให้คนในองค์กรกล้าที่จะสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ และไม่กลัวความล้มเหลว AIS ได้ปลูกฝังวัฒนธรรมที่เรียกว่า รู้จักล้ม ซึ่งเป็นโครงการที่ได้รับรางวัลมาแล้วด้วย
“เราจะบอกกันอยู่เสมอว่าหกล้มได้นะไม่เป็นไรถ้าเราจะต้องลองของใหม่ แต่อย่าล้มที่เดิม ล้มแล้วต้องเรียนรู้และลุกขึ้นมาเป็น ผู้นำการเปลี่ยนแปลง (Change Agent) เพื่อกระจายองค์ความรู้ให้คนอื่นไม่ล้มตาม”
รู้จักล้มจึงเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงและพัฒนาอย่างต่อเนื่องในวัฒนธรรมองค์กรของ AIS โดยเน้นการเรียนรู้จากความล้มเหลวเพื่อป้องกันความผิดพลาดซ้ำเดิมในอนาคต โดยเฉพาะในบริบทที่เทคโนโลยีจะเข้ามากระทบอย่างรวดเร็วและถี่ขึ้นในอนาคต สิ่งที่พนักงานทุกคนต้องมีคือความสามารถในการปรับตัว (Adaptability) หากมัวตกใจ หรือตั้งหลักนาน ก็จะไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลง
คุณกานติมาเปิดเผยถึงหลักคิดส่วนตัวที่ผลักดันให้เกิดวัฒนธรรมองค์กรที่เท่าเทียมว่า “เราไม่ค่อยชอบแบ่งผู้หญิง-ผู้ชายอยู่แล้ว เราก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่ชอบพูดว่าผู้หญิงต้องได้อะไรพิเศษ มีความเชื่อส่วนตัวว่าถ้าอยากจะได้เหมือนเขาก็ต้องทำเหมือน ๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นเพศไหน เราไม่เชื่อในการทำโควต้า และผู้หญิงก็ไม่ได้อยากได้ตำแหน่งมาเพราะโควต้าที่เหลืออยู่ คิดว่าผู้หญิงน่าจะภูมิใจที่เราได้ตำแหน่งมาเพราะความสามารถ”
การที่ผู้หญิงจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดต้องมาจากความสามารถที่พิสูจน์แล้วไม่ใช่เพราะเพศสภาพ นั่นคือหลักการที่ฝังอยู่ในวัฒนธรรมการพิจารณาคนของ AIS ที่ทุกครั้งที่มีการประเมินหรือพิจารณาตำแหน่งจะไม่มองเลยว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง
“สิ่งเดียวที่ตัดสิน คือ ตัวคุณเองว่าจะพิสูจน์ตัวเองอย่างไร”
ความเท่าเทียมในบริบทของ AIS จึงหมายถึงการให้โอกาสทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน แม้ในงานที่มักถูกจำกัดเพศหรือเป็นงานที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญด้านเทคนิค การวัดผลจึงอยู่บนพื้นฐานของความรู้ ทักษะ ความสามารถ (Competency) เท่านั้น และหากพนักงานคนใดรู้สึกว่าการปฏิบัติไม่ยุติธรรม องค์กรก็มีกลไกตรวจสอบที่ชัดเจน
“หากลูกน้องรู้สึกว่าหัวหน้าประเมินไม่ยุติธรรม สามารถสายตรงถึงผู้ใหญ่ และมีคณะกรรมการเข้ามาตรวจสอบ”
นี่คือการสร้าง ‘Equity’ หรือความเสมอภาคทางโอกาสอย่างแท้จริง ด้วยการสร้างระบบคานอำนาจที่ทำให้การประเมินและการปฏิบัติเป็นไปตามมาตรฐานกลาง โดยไม่ให้ความลำเอียงของบุคคลมาบิดเบือนความเป็นธรรมได้
การขับเคลื่อนเรื่องความเท่าเทียมของ AIS ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องเพศเท่านั้น แต่รวมถึงสถานภาพ และการดำเนินชีวิตด้วย สิ่งที่ AIS ไม่สนับสนุนคือ การติดป้าย (labeling) หรือการแบ่งแยกกลุ่มคน
สำหรับ AIS แล้วเรื่องความเท่าเทียมถือเป็นเรื่องปกติในวัฒนธรรมองค์กร และความแตกต่างคือความสวยงาม (diversity) และเป็นสิ่งที่ทำให้องค์กรเกิดความก้าวหน้าและแข็งแรงมาจนถึงทุกวันนี้ หากทุกคนคิดเหมือนกันหมดองค์กรก็จะไม่พัฒนา หรือเป็นเหมือน ‘ทฤษฎีขนมเปี๊ยะ’ ที่เหมือนกันไปหมด ไม่มีจุดยืนเป็นของตัวเอง
“ความแตกต่าง คือจุดแข็งที่ทำให้องค์กรก้าวหน้าและแข็งแรง พี่น้องในบ้านเดียวกันยังแตกต่างกัน สิ่งสำคัญ คือการเคารพในตัวเขาในสิ่งที่เขาเป็น”
หนึ่งในตัวอย่างที่โดดเด่นและสะท้อนแนวคิดนี้อย่างลึกซึ้งคือ การจ้างงานผู้พิการทางสายตา เข้ามาทำงานในคอลเซ็นเตอร์ คุณกานติมาเชื่อว่าการมองไม่เห็นได้นำมาซึ่งความสามารถที่เหนือกว่าในการใช้ ‘ใจฟัง’ และความละเอียดอ่อนในการรับมือกับลูกค้า ซึ่งเป็นการมอบโอกาสให้พวกเขาได้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่
“เราเชื่อว่าพรสวรรค์ที่ดับไปด้านหนึ่งจะไปเพิ่มอีกด้านหนึ่ง”
การขับเคลื่อนเรื่องความเท่าเทียมของ AIS ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในองค์กร แต่มีการขับเคลื่อนความเท่าเทียมในเชิงสร้างสรรค์ผ่านโครงการที่ใช้ทักษะของคนในองค์กร เพื่อลดช่องว่างทางสังคม
หนึ่งในโครงการสำคัญที่เน้นความเท่าเทียมทางสังคม คือ ‘ภารกิจคิดเผื่อ’ และ ‘JUMP THAILAND Hackathon’ โครงการเหล่านี้ดึงคนรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาต้นแบบเพื่อลดช่องว่างทางสังคม เช่น การพัฒนากล้องห้อยคอสำหรับผู้พิการทางสายตา ซึ่งสามารถอ่านข้อมูลด้านหน้าว่าเป็นกำแพงหรือบันได สิ่งเหล่านี้สะท้อนความสามารถของคนรุ่นใหม่ที่มีความมุ่งมั่นทางสังคมในการลดความเหลื่อมล้ำด้านความสมบูรณ์ทางร่างกาย
รวมถึง ภารกิจ ‘อุ่นใจอาสา’ ก็เป็นหนึ่งในโครงการสำคัญที่พิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นขององค์กรในการสร้างผลกระทบต่อสังคมภายนอกอย่างต่อเนื่อง
“ถ้าเราอยู่ในสังคมแล้วเราเผชิญกับความท้าทายหลายอย่าง แต่สิ่งหนึ่งที่ AIS เป็นในวันนี้เราเป็นสมาชิกที่ตอบแทนคุณแผ่นดิน หมายความว่าเราโตอย่างเดียวไม่ได้เราต้องทำสังคมของคนในประเทศให้แข็งแรงขึ้น”
การที่พนักงานนับพันคนพร้อมใจกันลุกขึ้นมาทำกิจกรรมอาสา ทำให้ AIS มีศักยภาพในการ ระดมพลและเข้าช่วยเหลือสังคมได้อย่างรวดเร็วในยามที่เกิดภัยพิบัติ รวมถึงการสร้างรากฐานความยั่งยืนในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมิติของการศึกษา
“เราเอาเรื่องการศึกษาเข้าไปถึงโรงเรียนที่อยู่ชายขอบ ให้น้องๆ ที่อยู่ชายขอบได้เข้าถึงการศึกษาได้เท่าๆ กับเด็กที่อยู่ในกรุงเทพฯ มันอาจจะทำให้คนเก่งในประเทศมีจำนวนมากขึ้น แม้ไม่ให้ผลตอบรับเชิงพาณิชย์ แต่ทำให้สังคมแข็งแรงขึ้น”
คุณกานติมาเน้นย้ำว่าองค์กรไม่สามารถเติบโตได้อย่างโดดเดี่ยว หากสังคมโดยรวมไม่แข็งแรง
"เป็นสิ่งละอันพันละน้อยที่เราทำได้ บางเรื่องทำไปแล้วยังไม่เห็นผลกลับมา แต่เราก็ต้องขอบคุณผู้ใหญ่ของ AIS ที่ให้เราทำ เพราะหลายๆ อย่างที่เราทำก็ไม่ได้ผลตอบรับในแง่ของเชิงพาณิชย์ แต่ตอบในแง่ของสังคมที่แข็งแรงขึ้น"
การได้รับรางวัล Female Thought Leader of the Year 2025 จึงเป็นบทสรุปที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ว่าการขับเคลื่อนเรื่องการพัฒนา ‘คน’ และ ‘ความเท่าเทียม’ ใน AIS ไม่ใช่แค่นโยบาย แต่ถูกทำให้เป็นจริงและเห็นผล จนได้รับการยอมรับในระดับโลกแล้วนั่นเอง
“รางวัลนี้ คือสิ่งที่การันตีว่าสิ่งที่เราทำอยู่ทุกวันนี้ เรามาถูกทาง”