20 ส.ค. 2568 | 18:10 น.
KEY
POINTS
ในโลกธุรกิจที่หมุนเร็วและเต็มไปด้วยการแข่งขัน การยืนหยัดอย่างสง่างามมานานกว่าทศวรรษ ในฐานะเจ้าของเอเจนซีด้านการตลาดและการสื่อสาร ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย เบื้องหลังรอยยิ้มและพลังงานที่ไม่เคยหมด ของ ‘แอน ปิยะหทัย อัชญาวัฒน์’ กรรมการผู้จัดการแห่ง ‘บริษัท เดอะ มาร์คอม โปร จำกัด’ จึงมีเรื่องราวของความกล้าหาญ การทำงานหนัก และปรัชญาชีวิตที่ไม่เคยยอมจำนน ต่อคำว่า ‘โซนปลอดภัย’
นี่คือเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่งที่เลือกทิ้งตำแหน่งใหญ่ เงินเดือนดี และความมั่นคงสูง เพื่อก้าวกระโดดสู่ความไม่แน่นอน ด้วยเหตุผลง่าย ๆ แต่บาดลึกถึงหัวใจว่า เธอใฝ่หาชีวิตที่มีอิสรภาพ
ก่อนที่ ‘The Marcompro’ จะถือกำเนิดในวันที่ 4 สิงหาคม 2014 แอน เป็นลูกจ้างมาตลอดชีวิต เธอไต่เต้าจนอยู่ในตำแหน่งที่หลายคนใฝ่ฝัน แต่ท่ามกลางภาพลักษณ์ที่สวยหรูนั้น เธอต้องแลกด้วยการทำงาน 12 ถึง 14 ชั่วโมงต่อวัน นอนไม่ถึงวันละ 6 ชั่วโมง เป็นเวลาติดต่อกันถึง 3 ปี
ด้วยสภาพร่างกายที่ทรุดโทรม รู้สึกไม่สวยยามเมื่อส่องกระจก และสภาวะจิตใจที่ตกต่ำลงเรื่อย ๆ คือสัญญาณเตือน ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับคนที่เป็น ‘คนชอบคอนโทรล’ การทำงานในสายโอเปอเรชันที่เต็มด้วยเรื่องไม่คาดฝันตลอดเวลา ทำให้เธอรู้สึกสูญเสียอำนาจในการบริหารจัดการเวลาของตัวเองอย่างสิ้นเชิง
ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ทุกอย่างต้องสิ้นสุดลง คือภาพสะท้อนที่มาจากครอบครัวของเธอเอง
“จุดที่พีคจริง ๆ คือลูกเริ่มแพลนอะไรกับพ่อของเขา โดยที่ไม่มีเรา เพราะว่าเขาไม่รู้ว่าแม่จะว่างหรือเปล่า” แอนเล่าถึงช่วงเวลาอันยากลำบากนั้น “เราก็รู้สึกว่า...อือ อันนี้มันเป็นชีวิตที่เราอยากได้หรือเปล่า”
คำถามนั้นกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่นำไปสู่ความคิดที่ว่า “It's now or never” เธอยื่นคำท้าให้กับโชคชะตา ด้วยการให้สัญญากับตัวเองหนึ่งข้อ นั่นคือ
“ให้เวลาตัวเองหนึ่งปี ออกไปเปิดบริษัทดูซิ ถ้ามันเจ๊งก็กลับมาทำงานโรงแรมอีกก็ยังได้”
เธอมั่นใจว่าด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมา ยังมีโรงแรมอีกมากมายที่พร้อมจะจ้างเธอ และนั่นคือการเดิมพันครั้งสำคัญที่พาเธอออกจากพื้นที่เซฟโซน สู่มหาสมุทรแห่งความไม่แน่นอนที่ชื่อว่า ‘การเป็นนายตัวเอง’
หลังจากการก้าวกระโดดครั้งนั้น The Marcompro ไม่ได้ทะยานขึ้นสู่ทำเนียบเอเจนซีชั้นนำในชั่วข้ามคืน ความเป็นจริงคือมีเพียงเดือนแรกเท่านั้นที่ยังไม่มีลูกค้า เพราะอยู่ในช่วงของการวางระบบ แต่ในเดือนที่สอง แสงสว่างเริ่มปรากฏ เมื่อเพื่อนฝูงในวงการโรงแรมที่มีงบประมาณจำกัด เริ่มหยิบยื่นงานเล็ก ๆ น้อย ๆ มาให้
งานชิ้นแรก ๆ คือการทำ Copywriting ในราคาหลักหมื่นบาท ซึ่ง แอน รับทำเพราะอย่างน้อย ๆ สามารถ “จ้างน้องได้คนนึงแหละ” หรือรับงานกราฟิกดีไซน์ เพียงเพื่อ “ให้คัฟเวอร์คอสต์ของเงินเดือนลูกน้อง” จากจุดเริ่มต้นที่ค่อย ๆ ก้าวทีละขั้น จากลูกค้าร้านอาหารเล็ก ๆ ไปจนถึงการได้รับความไว้วางใจจากแบรนด์ใหญ่ สิ่งที่น่าทึ่งคือ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา The Marcompro เติบโตมาโดยไม่เคยทำการตลาดให้ตัวเองเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทุกอย่างเกิดจากการแนะนำแบบปากต่อปากล้วน ๆ
อะไรคือสิ่งที่ทำให้ชื่อของ แอน ปิยะหทัย และ The Marcompro เป็นที่เชื่อมั่นได้ถึงเพียงนี้? คำตอบไม่ได้อยู่ในตำราการตลาดเล่มไหน แต่อยู่ในปรัชญาความสัมพันธ์ที่เรียบง่ายและทรงพลัง
“ถ้าคิดว่า เรามีมิตรภาพต่อกัน มันก็จะเป็นความสัมพันธ์ที่ไปไกลกว่าเรื่องงานแล้ว”
นี่คือหัวใจที่ขับเคลื่อนวิธีการทำงานของเธอ คือการสร้างความสัมพันธ์ที่ไปไกลกว่าผลประโยชน์ทางธุรกิจ เธอเล่าเป็นตัวอย่างว่า บางครั้งเธอช่วยเพื่อนเจรจาต่อรองราคาและจองโรงแรมให้ แม้ว่าโรงแรมนั้นจะไม่ใช่ลูกค้าของเธอก็ตาม การช่วยเหลือโดยไม่หวังผลตอบแทนเช่นนี้ คือการกระทำที่พิสูจน์ความจริงใจและสร้างความไว้วางใจขึ้นมา
ปรัชญานี้สะท้อนผ่านกฎเหล็กส่วนตัว คือ “ไม่เฟค” แอน อธิบายแนวทางของเธอว่า หากต้องทำงานกับคนที่ไม่คลิกกัน เธอจะไม่เสแสร้งปั้นหน้าชื่นชม แต่จะใช้การศึกษาข้อมูลว่าคนคนนั้นสนใจเรื่องอะไร แล้วหยิบยกเรื่องที่เป็นความจริงขึ้นมาพูดคุย เช่น เรื่องครอบครัวหรือสัตว์เลี้ยงของเขา เป็นต้น
“แต่เราจะไม่พูดบอกว่า ฉันชอบเธอจังเลย ฉันชอบอ่าน article ที่เธอเขียน ทั้ง ๆ ที่เราไม่ชอบ เราจะไม่พูดแบบนั้น”
ความจริงใจที่หนักแน่นนี้เอง คือสิ่งที่ทำให้เครือข่ายของเธอขยายออกไปในทุกวงการอย่างเป็นธรรมชาติ ความสัมพันธ์กับเหล่าคนดังและอินฟลูเอนเซอร์ ไม่ได้เกิดจากการว่าจ้าง แต่เกิดจากความสัมพันธ์ส่วนตัว ที่พวกเขา “อยากจะมาเจอพี่แอน...มาเม้าท์มอยกัน” ซึ่ง แอน จะบอกกับลูกค้าอย่างตรงไปตรงมาว่า เธอไม่สามารถการันตีได้ว่า จะพาดาราคนไหนมา เพราะมันคือความสัมพันธ์ที่ไม่ใช่ธุรกรรม
และรากฐานที่ลึกที่สุดของความสำเร็จนี้ คือการได้รับความไว้วางใจให้เป็น ‘ผู้เก็บงำความลับ’
“งานแบบนี้ ยูจะต้องเป็นคนที่เก็บความลับได้ดีมาก ๆ” เธอกล่าว “เราทำหน้าที่จองที่พักให้เขา (ดาราและอินฟลูเอนเซอร์) เรารู้ว่าเขาไปกับใคร ข้อมูลพวกนี้ มันไม่เคยหลุด”
เมื่อความเชื่อใจถูกมอบให้ การรักษาไว้ยิ่งกว่าชีวิต จึงไม่ใช่แค่จรรยาบรรณในอาชีพ แต่คือเครื่องพิสูจน์ตัวตนที่ทำให้ แอน ยืนหยัดมาได้จนถึงทุกวันนี้
ความจริงใจอาจเป็นรากฐานที่มั่นคง แต่การจะสร้างบริษัทให้เติบโตและเป็นที่ยอมรับในวงการที่เต็มไปด้วยความต้องการอันหลากหลายนั้น ต้องอาศัยปรัชญาการบริหารจัดการที่ไม่ธรรมดา ซึ่งสำหรับ The Marcompro แล้ว สามารถสรุปได้ด้วยคำสองคำ คือ ‘ใจถึง’ และ ‘ถึงแก่น’
ความ ‘ใจถึง’ ของ แอน สะท้อนชัดเจนในวิธีที่เธอจัดการกับลูกค้า เมื่อถูกถามว่า ในสัญญา 6 เดือนจะเขียนข่าวประชาสัมพันธ์ให้กี่ชิ้น คำตอบที่ได้กลับไปคือ ‘Unlimited’ แต่มีเงื่อนไขสำคัญว่า “อยู่ที่ว่าคุณมีของหรือเปล่า ถ้าหากว่าของคุณขายไม่ได้ เราจะไม่เขียนนะ”
จุดยืนนี้คือการทลายกรอบความคิดที่ยึดติดกับตัวเลข แต่ให้ความสำคัญกับ ‘คุณค่า’ ที่แท้จริงของข่าวสารเป็นอันดับแรก นอกจากนี้ เธอยังพร้อมที่จะทำสิ่งที่อยู่นอกเหนือขอบเขตงานเสมอ หากสิ่งนั้นเป็นประโยชน์ต่อลูกค้า
ในฐานะผู้นำ ความ ‘ใจถึง’ ของเธอ ยังหมายถึงการเป็นศูนย์รวม ‘ความนิ่ง’ ท่ามกลางความโกลาหล เธอมักจะบอกกับลูกน้องที่กำลังสติแตกเสมอว่า “ถ้ายูมองพี่ แล้วพี่ยังไม่สติแตก ยูไม่มีอะไรต้องกังวล” และในสถานการณ์ที่คับขัน เธอก็พร้อมที่จะ “ใช้เงินแก้ปัญหา” โดยไม่สนใจตัวเลขกำไร เพื่อให้แน่ใจว่างานจะถูกส่งมอบให้ลูกค้าอย่างมีคุณภาพและทันเวลา
ขณะเดียวกัน ความสำเร็จของ The Marcompro ก็เกิดจากปรัชญาการทำงานที่ลงลึกแบบ ‘ถึงแก่น’ แอน ใส่ใจในทุกรายละเอียดและสอนงานลูกน้องในระดับที่ลึกซึ้งอย่างน่าทึ่ง เธอเล่าถึงเทคนิคการสร้างบทสนทนากับสื่อระหว่างมื้ออาหารว่า
“สมมติว่าเขาตักข้าวเข้าปากปุ๊บ นั่นคือนาทีที่เราจะพูดเรื่องที่เราอยากให้เขารู้ เพราะเขาต้องฟังเราอยู่แล้ว เขากำลังเคี้ยวข้าวอยู่”
หรือแม้กระทั่งเรื่องเล็กน้อย อย่างเช่นการสร้างภาพลักษณ์ของตนเอง เธอสอนลูกน้องว่า
“เธออย่าสะพายกล้อง เพราะเมื่อสะพายกล้อง เธอเป็นช่างภาพทันที เธอต้องถือกล้องด้วยมือค่ะ เพราะเธอคือพีอาร์ที่ถ่ายรูปเป็น”
การลงรายละเอียดในระดับนี้ คือสิ่งที่สร้างความแตกต่างและเป็นมาตรฐานที่เธอส่งต่อให้ทีม
อย่างไรก็ตาม ปรัชญาที่แข็งแกร่งนี้ก็นำมาซึ่งความท้าทายที่ใหญ่ที่สุด นั่นคือ ‘การหาคนมาทำงาน’ การจะหาคนที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่เธอต้องการ ทั้งการเป็นคนที่น่าคบหา (Likable) และต้องมีทักษะการวิเคราะห์คน (Analytical Skill) นั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก และนี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ The Marcompro ยังคงเป็นทีมขนาดเล็กที่อัดแน่นด้วยคุณภาพ แทนที่จะขยายขนาดไปอย่างไร้ทิศทาง
อะไรคือเบื้องหลังของมาตรฐานที่สูงลิ่วและพลังงานที่ไม่เคยหมด? คำตอบไม่ได้อยู่ที่พรสวรรค์ แต่คือทัศนคติที่ถูกหล่อหลอมมาทั้งชีวิต แอน นิยามตัวเองอย่างชัดเจนว่า “สู้มาโดยตลอด เราถีบตัวเองตลอดเวลา เราทะเยอทะยานตลอดเลย”
พลังขับเคลื่อนนี้มีรากฐานมาจากวัยเด็ก ด้วยความที่มีคุณแม่เป็นคนที่ดุมาก ทำให้เธอต้อง “พยายามที่จะทำอะไรที่ไม่ให้เจอเหตุที่แม่จะดุ” อยู่เสมอ เธอพยายามเรียนให้เก่ง สอบเข้าให้ได้ เพื่อที่จะได้รับคำชื่นชม สภาพแวดล้อมนี้เองที่หล่อหลอมให้เธอกลายเป็นคนไม่เคยหยุดพัฒนาตัวเอง และเกลียดการอยู่ในโซนปลอดภัย
“ในชีวิต เราไม่เคยอยู่ในคอมฟอร์ทโซนเลยนะ และเราไม่ชอบอยู่ในคอมฟอร์ตโซน เราแชลเลนจ์ตัวเราเองตลอดเวลา”
คำพูดนี้คือสัจธรรมในชีวิตของเธอ ตั้งแต่การไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ โดยที่ “ภาษาอังกฤษไม่กระดิกเลย” และต้องเรียนรู้ภาษาอังกฤษจากการ “นั่งดูซีรีส์...ตลอดทั้งวัน” เป็นเวลา 6 เดือน ไปจนถึงการสร้างประวัติศาสตร์ในสายงานโรงแรม เธอคือ Director of Marcom คนแรก ที่กล้ากระโดดข้ามสายไปเป็น Director of Sales & Marketing และยังเป็นคนแรกที่ทิ้งสายงานนั้น ไปคุม Operations ในตำแหน่ง Director of Rooms ซึ่งเป็นเรื่องที่คนในวงการมองว่า “แทบจะเป็นไปไม่ได้”
ยังไม่นับรวมว่า เธอจบการศึกษาด้าน Computer Science ก่อนจะหันเหชีวิตมาสู่สายงานการโรงแรม บางที การเลือกเรียนในสาขาที่ต้องใช้ตรรกะและเหตุผลสูง อย่าง Computer Science ก็ดูเหมือนจะเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ของความต้องการที่จะท้าทายตัวเอง และทำในสิ่งที่คนอื่นคาดไม่ถึงเสมอมา
เพื่อที่จะไม่ตกยุคและรักษาพลังความสดใหม่ไว้เสมอ เธอเลือกที่จะ “แฮงเอาท์กับเด็กรุ่นใหม่ตลอดเวลา”
“เราคบเด็ก 20 กว่า 30 หน่อย ๆ” เพื่อเรียนรู้ว่าคนรุ่นนี้เขาสนใจเรื่องอะไรกัน ตั้งแต่เทรนด์การถ่ายรูปสไตล์ Gen Z ไปจนถึงการตัดต่อวิดีโอ
แม้ภาพลักษณ์ภายนอกจะดูเป็น Extrovert ที่โลดแล่นอยู่ท่ามกลางผู้คน แต่ แอน กลับเผยว่า แท้จริงแล้ว เธอคือ ‘Introvert’ ที่สามารถเป็น Extrovert ได้เมื่ออยู่กับคนที่เธอชอบ แต่ในขณะเดียวกัน วิธีการชาร์จพลังที่แท้จริงของเธอ คือการได้อยู่เงียบ ๆ คนเดียว การเข้าใจโลกสองด้านในตัวเองนี้ ทำให้เธอโลดแล่นไปสู่โลกภายนอกได้อย่างเต็มที่ และกลับมาชาร์จพลังในโลกส่วนตัวได้อย่างสมดุล
หลังจากต่อสู้ ทำงานหนัก และท้าทายตัวเองมาตลอดทั้งชีวิต รางวัลยิ่งใหญ่ที่สุดที่ แอน ได้รับ ไม่ใช่ตัวเลขผลกำไรหรือขนาดของกิจการบริษัท แต่คือคำว่า ‘อิสรภาพ’
“ตอนนี้เรามีอิสระพอที่ว่า... ใครมาชวนไปไหน ถ้าเราอยากไป เราไปเลย” เธอกล่าว “เราคิดว่าเป็นรางวัลชีวิตมาก ๆ” คืออิสระในการตัดสินใจว่าจะเดินทาง จะทำงานเงียบ ๆ คนเดียว หรือจะออกไปพบปะผู้คน เธอได้กลับมาเป็นนายของเวลาและชีวิตตัวเองอย่างสมบูรณ์ และนี่คือรางวัลที่หอมหวานที่สุด สำหรับคนที่เคยรู้สึกว่าไม่สามารถควบคุมอะไรในชีวิตได้เลย
เมื่อมองย้อนกลับไปตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา เธอไม่เคยเชื่อในคำว่า Work-Life Balance แต่เชื่อในการทำงานหนักเพื่อสร้างหนทางไปสู่สิ่งที่เรียกว่า Passion ทุกวันนี้ การทำงานของเธอขับเคลื่อนด้วย Passion สองอย่าง คือ หนึ่ง-ดูแลตัวเอง สอง-ไปเที่ยว
แต่เหนือกว่าความสำเร็จในการสร้าง The Marcompro สิ่งที่เป็นความภาคภูมิใจ และนับเป็น ‘achievement’ สูงสุดในชีวิตของเธอ คือการเลี้ยงลูก
“ลูกคือความสำเร็จของเรา เพราะเขาเป็นอย่างที่เราอยากจะให้ตัวเราเป็น” เธอกล่าวด้วยความภูมิใจ
ปรัชญาการเลี้ยงลูกของ แอน เป็นภาพสะท้อนที่สมบูรณ์ของชีวิตที่ผ่านมาทั้งหมด เธอตั้งใจว่าจะ “เลี้ยงลูกแบบที่เราอยากถูกเลี้ยง” ซึ่งหมายถึงการเลี้ยงแบบ “ตรงกันข้ามหมด” กับที่เธอเคยประสบมา โดยมีเป้าหมายสูงสุดเพียงหนึ่งเดียว คือ “อยากให้ลูกเป็นคนมีความสุข” และเธอเลือกที่จะไม่เข้าไปก้าวก่ายการตัดสินใจในชีวิตของลูก ตราบใดที่เขามีความสุข มันคือการทลายวงจรเดิม และมอบสิ่งที่ดีที่สุดที่เธอเรียนรู้มาทั้งชีวิตให้แก่คนรุ่นต่อไป
และเมื่อถูกขอให้นิยามตัวตนของผู้หญิงที่ชื่อ แอน ปิยะหทัย อัชญาวัฒน์ เธอตอบอย่างไม่ลังเล เป็น 3 คำที่สรุปการเดินทางทั้งหมดของเธอได้อย่างสมบูรณ์แบบจริง ๆ
“Ambitious, fearless, risk-taker... ทะเยอทะยาน, ไม่กลัว, และกล้าเสี่ยง”
สัมภาษณ์: อนันต์ ลือประดิษฐ์