ชีวิตของ ‘มาริลิน มอนโร’ เบื้องหลังภาพ ‘กระโปรงเปิด’ และเฟมินิสต์ผู้มาก่อนกาล

ชีวิตของ ‘มาริลิน มอนโร’ เบื้องหลังภาพ ‘กระโปรงเปิด’ และเฟมินิสต์ผู้มาก่อนกาล

สำรวจเบื้องหลังภาพ ‘กระโปรงเปิด’ ของ ‘มาริลิน มอนโร’ ที่กลายเป็นภาพถ่ายและไอคอนซึ่งติดในความทรงจำของผู้คนมายาวนาน และเรื่องราวของเฟมินิสต์ผู้มาก่อนกาล

  • ภาพสาวผมบลอนด์ สวมชุดขาว และท่าทางขณะที่กระโปรงของเธอเปิดขึ้นมา กลายเป็นภาพจำติดตาคนทั่วโลก
  • เบื้องหลังเหตุการณ์นี้เต็มไปด้วยเรื่องราวและเส้นทางชีวิตของผู้หญิงที่เป็นไอคอนในวงการบันเทิงแต่มีชีวิตที่ไม่ได้ราบรื่นนัก

“ว้าว! ได้สัมผัสสายลมจากรถไฟใต้ดิน มันสดชื่นดีจัง” สาวผมบลอนด์ในชุดกระโปรงสีขาว บอกกับเพื่อนชายที่เดินมาด้วยกันระหว่างทั้งคู่ยืนอยู่บนฝาท่อ ซึ่งเป็นตะแกรงเหล็กที่ปิดทับช่องระบายอากาศของรถไฟใต้ดินในมหานครนิวยอร์ก

หลังพูดจบ ท่อเบื้องล่างก็ส่งเสียงดังออกมาเป็นสัญญาณว่า รถไฟกำลังวิ่งผ่านจุดที่ทั้งสองยืนอยู่ ทันใดนั้นความเร็วของรถไฟในอุโมงค์ก็เปลี่ยนเป็นสายลมที่พัดขึ้นมาตามท่อ มันเป่ากระโปรงจีบสีขาวของหญิงสาวให้ปลิวไสวและถลกขึ้นมา จนมองเห็นเรียวขาทั้งสองข้างขึ้นไปจนถึงกางเกงชั้นใน

แม้เธอจะพยายามใช้มือทั้งสองข้างกดกระโปรงด้านหน้าไม่ให้เปิดอ้าจนโป๊เกินไป แต่หน้าตาของเธอบ่งบอกถึงความสนุกและพึงพอใจ ไม่มีท่าทีเขินอาย จนทำให้หลายคนตีความกันไปต่าง ๆ นานา

“มันเย็นสบายข้อเท้าดีใช่ไหมครับ” ชายหนุ่มที่เดินมาด้วยกันเอ่ยถามด้วยสีหน้ากรุ้มกริ่มและแววตาบ่งบอกถึงความชอบใจ

นั่นคือฉากหนึ่งในภาพยนตร์เรื่อง ‘The Seven Year Itch’ (1955) ของผู้กำกับ ‘บิลลี่ ไวลเดอร์’ (Billy Wilder) ที่ทำให้ ‘มาริลิน มอนโร’ (Marilyn Monroe) กลายเป็นตำนานดาราสาวผมบลอนด์สุดเซ็กซี่ ที่อยู่คู่วงการหนังฮอลลีวู้ดไปตลอดกาล

เบื้องหลังฉากกระโปรงเปิด

ฉากที่ทำให้ ‘มาริลิน มอนโร’ กลายเป็นที่จดจำไม่มีวันลืมของคนทั่วโลกนี้ ผู้กำกับบิลลี่ ไวลเดอร์ ยกกองไปถ่ายกันในสถานที่จริงริมถนนกลางมหานครนิวยอร์ก ของสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 15 กันยายน ค.ศ. 1954

แม้เขาจะเลือกเวลาเดินกล้องกลางดึกหลังเที่ยงคืน เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาจราจรและคนพลุกพล่าน แต่ข่าวที่แพร่ออกไปก่อนหน้า ทำให้บรรดาช่างภาพนับร้อยและแฟนหนังอีกนับพันชีวิตต่างพากันเดินทางมารอชมการถ่ายทำบริเวณมุมถนนเส้น ‘เล็กซิงตัน’ ตัดกับถนนหมายเลข 52 ในแมนฮัตตัน กันจนเนืองแน่น

เพื่อเป็นการเซฟตัวเองจากสายตานับพัน ๆ คู่ นางเอกสาวเซ็กซี่ตัดสินใจสวมกางเกงในสีขาวซ้อนกัน 2 ชั้นใต้ชุดกระโปรงบานจับจีบแบบเปลือยหลัง - เปิดไหล่ เธอเข้าฉากนี้กับดารานำชาย ‘ทอม ยูเวลล์’ (Tom Ewell) และต้องยืนให้ลมเป่าใต้หว่างขาถึง 14 รอบ ใช้เวลาถ่ายทำประมาณ 3 ชั่วโมง

ทุกครั้งที่บิลลี่สั่ง “แอคชั่น” นอกจากแสงแฟลชจากกล้องช่างภาพนับร้อยตัวจะสว่างวูบวาบ บรรดาฝรั่งมุงนับพันที่อยู่บริเวณนั้นยังส่งเสียงอื้ออึงด้วยความชอบใจ จนสุดท้ายผู้กำกับต้องตัดสินใจยกกองกลับไปถ่ายฉากนี้กันใหม่ที่สตูดิโอในฮอลลีวู้ดภายหลัง

ด้วยเหตุนี้ ฉากสุดท้ายที่เห็นกันในหนังจึงไม่ใช่ซีนที่ถ่ายในนิวยอร์ก แต่เป็นฉากที่ถ่ายในสตูดิโอ ทว่า ภาพจำของ ‘มาริลิน มอนโร’ ที่ปรากฏตามสื่อทั่วโลก รวมถึงภาพที่ใช้ในโฆษณาเพื่อโปรโมตหนัง ล้วนเป็นภาพที่มาจากการถ่ายทำครั้งแรกในสถานที่จริง

สาเหตุถูกทำร้ายและหย่าร้าง

แม้ฉากกระโปรงเปิดนี้จะได้รับการยกย่องว่าเป็นแผนโปรโมตหนังอันชาญฉลาด และทำให้ ‘มาริลิน มอนโร’ กลายเป็นตำนาน แต่เธอต้องแลกสิ่งนี้มาด้วยความเจ็บปวดทั้งทางร่างกายและจิตใจ เนื่องจากสามีนักกีฬาที่เดินทางไปชมการถ่ายทำด้วยในคืนนั้น รับไม่ได้กับการเปิดผ้าโชว์สัดส่วนในพื้นที่ลับของร่างกายเธอ

‘โจ ดิแมจจิโอ’ (Joe DiMaggio) นักเบสบอลซูเปอร์สตาร์ระดับตำนานของทีมนิวยอร์ก แยงกี้ส์ คือ สามีคนนั้น ทั้งคู่เพิ่งแต่งงานกันไม่กี่เดือนก่อนที่ผู้กำกับจะเปิดกล้องถ่ายทำฉากเซ็กซี่ริมถนนเส้นนี้ในนิวยอร์ก

ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า โจแสดงอาการฉุนเฉียวออกมาชัดเจน หลังผู้กำกับสั่ง “แอคชั่น” และคนดูส่งเสียงเชียร์เวลาที่ลมเป่ากระโปรงภรรยาของเขาถลกขึ้น จนสุดท้ายเขาทนดูต่อไม่ได้ และตัดสินใจเดินตัดหน้ากล้องออกจากกองถ่ายไปดื้อ ๆ ทิ้งให้ภรรยาต้องเข้าฉากนั้นต่อไปโดยลำพัง

หลังปิดกล้องคืนนั้น มาริลินและสามีมีปากเสียงกันรุนแรงในห้องพักโรงแรม ถึงขั้นมีการทำร้ายร่างกายกันเกิดขึ้น จนเช้าวันต่อมา ช่างแต่งหน้าต้องช่วยกันทารองพื้นปกปิดรอยแผลถลอกบริเวณหัวไหล่ของเธอ และเป็นเหตุให้ทั้งคู่ตัดสินใจหย่าร้างแยกทางกัน หลังใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันไม่ถึง 1 ปี

เส้นทางจากดินสู่ดาว

มาริลิน มอนโร หรือชื่อเดิม ‘นอร์มา จีน เบเกอร์’ (Norma Jeane Baker) เป็นชาวเมืองลอสแองเจลิส ของสหรัฐฯ โดยกำเนิด เธอเกิดวันที่ 1 มิถุนายน ค.ศ. 1926

ชีวิตในวัยเด็กของดาราสาวผู้นี้เติบโตมาด้วยความยากลำบาก เธอไม่รู้ว่าพ่อของตัวเองเป็นใคร ส่วนแม่ก็มีอาการทางประสาท ต้องเข้ารับการรักษาประจำในโรงพยาบาล ทำให้หนูน้อยมาริลินต้องเดินเข้า - ออกสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า หรือไม่ก็บ้านผู้อุปถัมภ์ที่รับเป็นบุตรบุญธรรมสลับกันไปมา

มาริลินแต่งงานครั้งแรกตอนอายุเพียง 16 ปี กับ ‘เจมส์ โดเฮอร์ตี’ หนุ่มโรงงานที่เป็นเพื่อนบ้าน ก่อนทั้งคู่ตัดสินใจเลิกรากันในปี 1946 เพราะฝ่ายชายไม่สนับสนุนให้เธอเป็นนักแสดง

“ตอนเป็นเด็ก ฉันมักนั่งแถวหน้าสุดในโรงหนังช่วงบ่ายวันเสาร์ ฉันคิดว่ามันจะวิเศษแค่ไหนถ้าได้เป็นนักแสดง ได้เห็นทุกอย่าง ฉันอยากรู้ ฉันอยากเป็นนักแสดงที่ดี” มาริลินเล่าถึงแรงบันดาลใจที่ทำให้อยากเข้าวงการฮอลลีวู้ด

เธอเริ่มเส้นทางดาราด้วยการเป็นนางแบบโฆษณาและถ่ายภาพวาบหวิว ก่อนค่ายหนังฮอลลีวู้ดจะจับเซ็นสัญญาเป็นนักแสดง และมีผลงานภาพยนตร์รวมกันทั้งหมดเกือบ 30 เรื่อง

ความสวย เซ็กซี่ ดึงดูดใจเพศตรงข้าม ทำให้นิตยสาร ‘Playboy’ ฉบับปฐมฤกษ์ที่วางแผงเดือนธันวาคม 1953 เลือก ‘มาริลิน มอนโร’ ขึ้นปก โดยเนื้อหาข้างในมีการรวบรวมภาพนู้ดเก่า ๆ ที่เธอเคยถ่ายปฏิทินสมัยเริ่มเข้าวงการ ตีพิมพ์เป็นคอลเลกชั่นให้หนุ่มน้อยใหญ่เก็บไปสะสม

“ฉันแค่ถังแตกและต้องการเงินตอนนั้น” มาริลินพูดถึงเหตุผลในการถ่ายนู้ด พร้อมปฏิเสธค่ายหนังต้นสังกัด ‘20th Century Fox’ ที่ต้องการให้เธอบอกกับสื่อว่าไม่เคยถ่ายภาพโป๊เปลือย หลังจากภาพเหล่านั้นถูกขุดคุ้ยออกมาตอนเป็นดารามีชื่อเสียง

ดาราสาวนักสิทธิสตรี

แม้ชีวิตของ ‘มาริลิน มอนโร’ จะไม่ประสบความสำเร็จเรื่องความรัก หลังหย่าร้างกับสามีคนแรก เธอแต่งงานใหม่อีก 2 ครั้ง กับ ‘โจ ดิแมจจิโอ’ และ ‘อาเธอร์ มิลเลอร์’ นักประพันธ์บทละครชื่อดัง ซึ่งสุดท้ายล้วนจบลงด้วยการหย่าร้าง ก่อนที่เธอจะจากโลกนี้ไปในวัย 36 ปี ด้วยการกินยานอนหลับเกินขนาดจนสิ้นใจเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 1962

การตายก่อนวัยอันควรนี้กลายเป็นปริศนาว่ามาจากอุบัติเหตุ ฆ่าตัวตาย หรือฆาตกรรม แต่ไม่ว่าสาเหตุที่แท้จริงคืออะไร ‘มาริลิน มอนโร’ ยังคงอยู่ในความทรงจำของใครหลายคนผ่านบทเพลง ‘Candle in the Wind’ ที่ ‘เอลตัน จอห์น’ แต่งไว้อาลัย และอยู่ในงานศิลปะอีกมากมาย ทั้งแนวป๊อปอาร์ตของ ‘แอนดี้ วอร์ฮอล’ และรูปปั้นสูง 8 เมตร ของ ซีเวิร์ด จอห์นสัน (Seward Johnson)

นอกจากนี้ บรรดาเซเลบฯ ผู้หญิงด้วยกันรุ่นต่อ ๆ มายังยกย่องให้เธอเป็นสัญลักษณ์ของดารานักสู้ผู้เรียกร้องสิทธิสตรีที่มาก่อนกาล ไม่ว่า ‘มาดอนน่า’ ‘เลดี้ กาก้า’ หรือแม้แต่ ‘คิม คาร์ดาเชียน’ ล้วนเคยโชว์ผลงานที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเธอ

ความเป็น ‘เฟมินิสต์’ ผู้มาก่อนกาลของ 'มาริลิน มอนโร’ สะท้อนผ่านมุมมองของผู้หญิงตัวเล็กที่กล้าลุกขึ้นมาท้าทายสังคมในยุคที่ชายเป็นใหญ่ และคำว่า ‘เฟมินิสต์’ ยังไม่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในขณะนั้น เธอยอมรับอย่างเต็มใจว่าเคยถ่ายนู้ด เพื่อประกาศเป็นนัยว่า ‘ร่างกายของฉัน ฉันเลือกเอง’ (My body, my choice)

มาริลิน มอนโร ยังเป็นนักแสดงสาวยุคแรก ๆ ของฮอลลีวู้ด ที่ยอมรับว่าเคยตกเป็นเหยื่อการล่วงละเมิดทางเพศในวัยเด็ก พร้อมเปิดโปงรายชื่อบรรดาพ่อเลี้ยงผู้ล่วงละเมิดเธอให้สังคมรับรู้ คล้ายขบวนการ #MeToo ในยุคต่อมา

เธอเป็นดาราหญิงคนแรกในฮอลลีวู้ดที่ตั้งบริษัทผลิตภาพยนตร์ของตนเอง และลุกขึ้นมาต่อรองเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมทางเพศกับเจ้าของค่ายหนัง ขณะเดียวกันก็พยายามเรียนรู้พัฒนาตนเองทั้งในด้านการร้องเพลงและการแสดง แม้ส่วนตัวจะมีปัญหาสภาพร่างกายและจิตใจ

ภาพที่เป็นอมตะ

ตลอดอาชีพนักแสดง บทบาทส่วนใหญ่ที่ ‘มาริลิน มอนโร’ ได้รับคือการเล่นเป็น ‘สาวผมบลอนด์ผู้โง่เขลา’ แต่ผู้ใกล้ชิดหลายคนบอกว่า ตัวจริงดาราสาวผู้นี้เป็นคนฉลาด เธอชอบอ่านหนังสือแนวจิตวิทยา และเป็นแฟนตัวยงของ ‘ซิกมันด์ ฟรอยด์’ นั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอสามารถไต่เต้าจากเด็กกำพร้าผู้ถูกทอดทิ้ง กลายเป็นดาราดังระดับตำนานของวงการฮอลลีวู้ดสำเร็จ

ภาพสาวผมบลอนด์หน้าตาสดใสในชุดกระโปรงขาวที่เปิดขึ้นจนเห็นกางเกงใน จากภาพยนตร์ที่ถ่ายทำกันเหนือรางรถไฟใต้ดินนิวยอร์ก แม้บางคนมองว่าเป็นการตอกย้ำบทบาท ‘สาวผมบลอนด์ผู้โง่เขลา’ แต่อีกมุมหนึ่งมันยังสะท้อนให้เห็นการแสดงออกถึงความพึงพอใจในร่างกายของตนเอง แบบเดียวกับที่นักสตรีนิยมยุคใหม่ให้การสนับสนุน

“ตอนเริ่มถ่ายทำ ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องบริสุทธิ์สดใส แต่พอบิลลี่ สั่งถ่ายใหม่ซ้ำ ๆ และพวกผู้ชายที่มุงดู พากันปรบมือโห่ร้องว่า ‘เอาอีก ๆ มาริลิน ขอดูอีก’

“ฉากที่ควรสนุกก็กลายเป็นฉากเย้ายวนทางเพศไปทันที” มาริลิน มอนโร เล่าย้อนเบื้องหลังฉากกระโปรงเปิดในความคิดของเธอ ขณะผู้กำกับพยายามนำกล้องเข้ามาซูมใกล้ ๆ ตรงหว่างขา

“ฉันได้แต่หวังว่า ฉากพิเศษที่ถ่ายไปพวกนั้น คุณจะไม่เอาไปเปิดให้เพื่อน ๆ ในวงการฮอลลีวู้ด ดูกันระหว่างจัดงานเลี้ยงส่วนตัวนะ”

เธอวิจารณ์แบบติดตลก โดยไม่มีท่าทีโกรธแค้นทั้งผู้กำกับและบรรดาผู้ชายที่มามุงดูร่างกายใต้กระโปรงของเธอ และภาพดังกล่าวก็ทำให้ดาราสาว ‘มาริลิน มอนโร’ กลายเป็นอมตะ ในฐานะผู้หญิงที่เปี่ยมไปด้วยความสดใสและมั่นใจในตัวเอง ซึ่งอยู่ในความทรงจำของคนทั่วโลกตลอดไป

เรื่อง: ภานุวัตร เอื้ออุดมชัยสกุล