09 ธ.ค. 2568 | 10:47 น.

KEY
POINTS
ท่ามกลางความวุ่นวายของมหานครที่เคลื่อนไหวอย่างไม่รู้จบ มีพื้นที่เล็ก ๆ บางแห่งที่เวลาราวจะหยุดนิ่ง เหมือนจังหวะดนตรีที่ถูกหน่วงให้ช้าลงเพื่อรอคอยการบรรเลงท่อนโซโล่สำคัญ บ่ายวันนั้น ณ ห้องอาหาร Cannubi by Umberto Bombana ภายในโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ บรรยากาศเงียบสงบ แสงแดดอ่อนที่สาดส่องผ่านกระจกเข้ามา ขับเน้นความงามของความนิ่งสงบให้ลอยอบอวลอยู่ในอากาศ
ที่นี่ เราได้พบกับบุรุษผู้หนึ่งที่ไม่ได้สวมบทบาทเป็นเพียงผู้รินเครื่องดื่ม หากแต่เป็นวาทยกรผู้ควบคุมวงออร์เคสตราแห่งรสชาติ ‘หมึก - ธนพงศ์ วงศ์สุวรรณ’ ผู้ซึ่งเพิ่งคว้าตำแหน่ง Thailand Best Sommelier 2025 มาครอง เขามาพร้อมรอยยิ้มที่อบอุ่นและสายตาที่บ่งบอกถึงการเป็น ‘ผู้ฟัง’ ที่ดี คุณสมบัติที่สำคัญยิ่งของคนทำงานในสายบริการ
บทสนทนาเริ่มต้นขึ้นด้วยคำถามเรียบง่ายถึงชีวิตในแต่ละวันของซอมเมอลิเยร์ คำตอบที่ได้รับกลับไม่ใช่ตารางงานที่ตายตัว หรือรายการหน้าที่อันเคร่งครัด หากแต่เป็นการเปรียบเปรยที่งดงามราวกับบทกวีที่สะท้อนปรัชญาการทำงานได้อย่างหมดจด
“ทุกวัน... เป็นวันที่ผมรู้สึกมาทำงานเราต้องใส่แรงบันดาลใจก่อน ตื่นมา... เราต้องทักทายเพื่อนร่วมงาน เดินผ่านล็อบบี้มาเจอแผนกต่าง ๆ แล้วเราก็เริ่มใส่แรงบันดาลใจของเรา” หมึก เกริ่นนำก่อนจะขยายความด้วยประโยคที่สะกดใจ
“บางวันผมอาจจะเหมือนงานศิลปะที่เลือดเดือดนิดนึง... เป็นสีแดงฉูดฉาด ก็อาจจะขายโหดนิดนึง แบบว่าจะมีแขก complain บ้าง วิ่งเสิร์ฟกันบ้าง... ก็จะเป็นอีกศิลปะหนึ่ง แต่อีกวัน ก็รู้สึกสมูธเหลือเกิน เป็นศิลปะแนวเย็น... ไม่รู้ว่าวันถัดไปจะเป็นอย่างไร แต่ทุกวันคือศิลปะครับ”
ถ้อยคำนี้ไม่ได้เป็นเพียงวาทศิลป์ หากแต่สะท้อนให้เห็นถึง ‘สภาวะการตื่นรู้’ ของคนทำงานที่มองเห็นเนื้องานของตนเป็นดั่งผืนผ้าใบที่รอการแต้มสี หรือบทเพลงแจ๊สที่รอการอิมโพรไวซ์ (Improvisation) ในแต่ละวัน ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าว่าจังหวะของวันนี้จะเป็นสวิงที่เร่าร้อน หรือบัลลาดที่นุ่มนวล แต่สิ่งสำคัญคือความพร้อมที่จะบรรเลงออกมาด้วยหัวใจ
นี่คือจุดเริ่มต้นของการเดินทางสู่โลกของไวน์ ที่ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของรสชาติ แต่คือเรื่องราวของชีวิต ศิลปะ และจิตวิญญาณ
หากชีวิตเปรียบเสมือนบทเพลง เส้นทางของ ธนพงศ์ วงศ์สุวรรณ ในช่วงเริ่มต้นนั้น ไม่ใช่เพลงบรรเลงในไวน์บาร์อันหรูหรา แต่เป็นท่วงทำนองที่เรียบง่ายของพนักงานต้อนรับในโรงแรม ชีวิตที่วนเวียนอยู่กับการส่งมอบรอยยิ้มและการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับศาสตร์แห่งเครื่องดื่ม หรือศิลปะของการจับคู่อาหารแต่อย่างใด
ทว่า จุดเปลี่ยนของชีวิตมักเกิดขึ้นเมื่อเรากล้าที่จะก้าวออกไปเผชิญโลกกว้าง ธนพงศ์ มีโอกาสเดินทางไปใช้ชีวิตในยุโรป ซึ่งเปรียบเสมือนการเปิดประตูบานใหญ่สู่โลกใบใหม่ที่เขาไม่เคยสัมผัส ระยะเวลา 9 เดือนในเนเธอร์แลนด์ และอีกกว่า 3 ปีในอังกฤษ ไม่ได้เป็นเพียงการเปลี่ยนสถานที่พำนัก หากแต่เป็นการบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความหลงใหลในวัฒนธรรมและการเดินทางให้หยั่งรากลึกลงในจิตใจ
“ทำให้เรารู้สึกว่าเราได้ชื่นชม และเรารู้สึกว่าเราอยากจะทำงานในส่วนของ Hospitality... อะไรนะที่จะทำให้เราสามารถที่จะแชร์ประสบการณ์ หรือสิ่งที่เราไปพบเห็น ให้กับวงการ Hospitality ในบ้านเราได้ดี ก็มองว่าน่าจะเป็น Food and Beverage”
ในช่วงเวลานั้น เขาได้ซึมซับวิถีชีวิต การกินดื่ม และวัฒนธรรมของผู้คนในต่างแดน จนตกผลึกทางความคิดได้ว่า เครื่องดื่มอย่าง ‘ไวน์’ และ ‘สปิริต’ ไม่ใช่เพียงของเหลวในแก้ว แต่คือพาหนะที่บรรทุกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และรากเหง้าทางวัฒนธรรมข้ามผ่านกาลเวลา
“ในส่วนของสปิริตหรือไวน์ ค่อนข้างที่จะมีความเกี่ยวเนื่องกับเรื่องของวัฒนธรรม เรื่องของประวัติศาสตร์... ผมก็เลยรู้สึกว่านี่น่าจะเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์กับประสบการณ์ของเรา เราเลยเลือกที่จะทำในส่วนของ Sommelier”
ปีคริสต์ศักราช 2014 ณ โรงแรมโอเรียนเต็ล คือหมุดหมายสำคัญที่เปลี่ยนเส้นทางชีวิตของเขาไปตลอดกาล จากความบังเอิญที่ได้เข้าร่วมการแข่งขันไวน์ภายในโรงแรม โดยไม่ได้คาดหวังสิ่งใดนอกจากประสบการณ์ กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความมหัศจรรย์ เมื่อเขา ‘ฟลุ๊ค’ ติดอันดับการแข่งขัน รางวัลในวันนั้นอาจดูเหมือนเรื่องบังเอิญสำหรับคนภายนอก แต่สำหรับธนพงศ์ มันคือสัญญาณที่บอกว่า เขาได้ค้นพบเครื่องดนตรีชิ้นเอกที่รอคอยมานานแล้ว
จากความสำเร็จเล็ก ๆ ในวันนั้น นำไปสู่การตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่ เขาเริ่มต้นก้าวเข้าสู่เส้นทางสายอาชีพ ‘Junior Sommelier’ ณ โรงแรมโอเรียนเต็ล และใช้เวลาถึง 10 ปีเต็มในการบ่มเพาะ ฝึกฝน และขัดเกลาทักษะ ราวกับไวน์ชั้นดีที่ต้องอาศัยเวลาในถังบ่มเพื่อรอวันที่รสชาติจะกลมกล่อมและสมบูรณ์พร้อม
10 ปีแห่งการเรียนรู้ ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ หากแต่เต็มไปด้วยบททดสอบแห่งวินัยและความมุ่งมั่น ที่ซึ่งเขาต้องฟังเสียงของไวน์ ฟังเสียงของแขก และฟังเสียงของหัวใจตัวเอง เพื่อที่จะเติบโตจากพนักงานต้อนรับหนุ่ม สู่การเป็นซอมเมอลิเยร์ผู้เชี่ยวชาญ ที่พร้อมจะส่งมอบสุนทรียะแห่งรสชาติให้กับผู้คน
หากการเดินทางในยุโรปคือการเปิดประตูสู่โลกกว้าง ช่วงเวลาหลังจากนั้นคือการก้าวเดินเข้าไปในห้องสมุดที่ไร้ผนัง ท่ามกลางยุคสมัยที่เทคโนโลยีการสืบค้นข้อมูลยังไม่ลึกซึ้งและกว้างขวางดั่งมหาสมุทรข้อมูลในปัจจุบัน การแสวงหาความรู้เรื่องไวน์เมื่อกว่าทศวรรษที่แล้ว จึงมิใช่เรื่องง่ายดายที่เพียงปลายนิ้วสัมผัสหน้าจอ
ในสมัยนั้น การเรียนรู้เปรียบเสมือนการแกะรอยจารึกโบราณ ธนพงศ์ ต้องอาศัย ‘ครูพักลักจำ’ จากรุ่นพี่ผู้มากประสบการณ์ คอยสังเกต จดจำ และเก็บเกี่ยวเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยระหว่างการทำงาน ผสมผสานกับการค้นคว้าเท่าที่โลกออนไลน์ในยุคนั้นจะเอื้ออำนวย นั่นคือช่วงเวลาแห่งการลองผิดลองถูก การคลำหาทางในความสลัวราง เพื่อประกอบสร้างองค์ความรู้ขึ้นมาทีละชิ้น
“การเรียนรู้เรื่องไวน์มีหลายมิติมาก ไม่ใช่แค่ดื่ม ไม่ใช่แค่เทสต์... มันต้องศึกษาด้วยตัวเองด้วย ผมคิดว่า การมีระเบียบวินัยค่อนข้างสำคัญ”
คำว่า ‘วินัย’ ในความหมายของเขา ไม่ใช่กฎเกณฑ์ที่เคร่งครัดจนขาดอากาศหายใจ หากแต่เป็น ‘จังหวะชีวิต’ ที่สม่ำเสมอและหนักแน่น ราวกับจังหวะของเมโทรโนมที่คอยกำกับให้นักดนตรีไม่หลงทาง เขาต้องวางแผนการเรียนรู้ดั่งการวางยุทธศาสตร์ วิเคราะห์ว่าประเทศใดควรศึกษา พันธุ์องุ่นใดต้องทำความเข้าใจ ไล่เรียงตั้งแต่อารยธรรม ประวัติศาสตร์ ไปจนถึงภูมิศาสตร์และเคมี เพราะไวน์หนึ่งขวดไม่ได้บรรจุเพียงน้ำองุ่นหมัก แต่บรรจุเรื่องราวของแผ่นดินและกาลเวลาเอาไว้
ทว่า ในความเข้มข้นของการเรียนรู้ ธนพงศ์ กลับค้นพบปรัชญาที่สำคัญยิ่งกว่าความรู้ นั่นคือ ‘ความสมดุลของชีวิต’
“ความรู้เป็นสิ่งที่ดี... แต่ว่าท้ายสุด ทุกคนทุกอาชีพ ผมเชื่อว่าทุกคนอยากมีความสุขในการทำงาน การที่เราดำดิ่งกับงานจนจมปลักมากเกินไป ผมว่ามันไม่ตอบโจทย์... ผมจะไม่ได้อ่านหนังสือแบบตะบี้ตะบันอ่าน แต่จะอ่านหนังสือด้วยการมีความสุขกับมัน”
นี่คือทัศนคติที่ทำให้เขายืนระยะอยู่ได้ การไม่ปล่อยให้ความรู้กลายเป็นภาระหนักอึ้ง แต่เปลี่ยนให้เป็นสุนทรียะ เลือกที่จะเรียนรู้ด้วยความรื่นรมย์ เพื่อที่จะส่งต่อความสุขนั้นผ่านแก้วไวน์ไปสู่ลูกค้าได้อย่างแท้จริง เป็นการเดินหน้าต่อไปโดยที่ยังคง ‘enjoy life’ ไปพร้อม ๆ กับการเติบโตในสายอาชีพ
เมื่อกาลเวลาหมุนผ่าน โลกของเครื่องดื่มและการบริการไม่ได้หยุดนิ่ง บทบาทของ ‘ซอมเมอลิเยร์’ ในสายตาของ ธนพงศ์ จึงไม่ใช่เพียงผู้เชี่ยวชาญที่ถือขวดไวน์เดินไปมาในร้านอาหารอีกต่อไป หากแต่ขยายขอบเขตไปไกลจนครอบคลุมสิ่งที่เรียกว่า ‘F&B Culture’ (Food & Beverage Culture)
ในยุคปัจจุบัน ซอมเมอลิเยร์ เปรียบเสมือนบรรณารักษ์ผู้ดูแลคลังแห่งรสชาติ ที่ต้องรอบรู้ทั้งศาสตร์ของสปิริต (Spirit), ชา, กาแฟ, ซิการ์ ไปจนถึงการเข้าใจแก่นแท้และคอนเซปต์อาหารของเชฟ เพื่อที่จะเชื่อมโยงทุกองค์ประกอบเข้าด้วยกันได้อย่างไร้รอยต่อ แต่เหนือสิ่งอื่นใด หัวใจสำคัญของการบริการไม่ได้อยู่ที่ความรู้ที่อัดแน่น หากแต่อยู่ตรง ‘มนุษย์’ ที่นั่งอยู่เบื้องหน้า
“อยากให้ลูกค้ามาที่ห้องอาหาร แล้วรู้สึกรีแลกซ์ก่อน... ไม่ใช่ว่ามาถึงปุ๊บ เราจะเน้นแบบว่าการขายโดยตรงเลย เพราะว่ามันเป็นธุรกิจในระยะยาว”
นี่คือศิลปะแห่งการอ่านใจคน ธนพงศ์ ไม่ได้มองลูกค้าเป็นเพียงเป้าหมายในการขาย แต่เขามองเห็น ‘วาระและโอกาส’ (Occasion) เขาต้องประเมินด้วยประสบการณ์ว่า วันนี้ลูกค้ามาสังสรรค์กับเพื่อนฝูง หรือมาเจรจาธุรกิจที่คร่ำเคร่ง ไวน์ที่เขาแนะนำจึงไม่ใช่แค่ไวน์ที่เข้ากับอาหาร แต่ต้องเป็นไวน์ที่ ‘เข้ากับจังหวะชีวิต’ ของลูกค้าในช่วงเวลานั้น
ความละเอียดอ่อนนี้สะท้อนผ่านวิธีคิดในการแก้ปัญหา เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ลูกค้าไม่พึงพอใจในรสชาติของไวน์ แม้ว่าในทางเทคนิคไวน์ขวดนั้นจะสมบูรณ์แบบเพียงใด สำหรับธนพงศ์แล้ว ความถูกต้องทางทฤษฎี ย่อมมีความสำคัญน้อยกว่าความรู้สึกของลูกค้า
“ถ้าแขกไม่แฮปปี้ ยังไงผมต้องการให้ทุกอย่างเข้าที่ก่อน... เราก็ต้องมาคุยกันกับทีมว่า งั้นเอาอย่างนี้ละกัน ก็โฮลด์(ขวดนี้)ไว้ก่อน... เอาขวดนั้นออกไป... ถึงเวลา ค่อยมาแก้ไขปัญหาหลังบ้าน”
วิธีคิดเช่นนี้แสดงให้เห็นถึงวุฒิภาวะและความเป็นมืออาชีพที่แท้จริง คือการเอาใจเขามาใส่ใจเรา และการรักษาบรรยากาศแห่งความสุขไว้เหนือสิ่งอื่นใด
แม้ว่าในเวทีระดับโลก อาชีพซอมเมอลิเยร์จะได้รับการยกย่องและให้เกียรติเทียบเท่ากับทนายความหรือวิชาชีพชั้นสูงอื่น ๆ โดยเฉพาะในประเทศ อย่าง ญี่ปุ่น หรือ สิงคโปร์ แต่ในประเทศไทย เส้นทางนี้ยังต้องอาศัยการบุกเบิกและสร้างความเข้าใจอีกมาก ธนพงศ์ จึงไม่ได้เป็นเพียงผู้เดินทาง แต่เขากำลังทำหน้าที่เป็น ‘สะพาน’ ที่เชื่อมโยงมาตรฐานสากลเข้ากับบริบทของสังคมไทย เพื่อยกระดับวิชาชีพนี้ให้เป็นที่ประจักษ์และยอมรับในวงกว้าง
เมื่อบทสนทนาเดินทางมาถึงแก่นแท้ของไวน์ เรามิอาจละเลยคำว่า ‘Terroir’ (แตร์ฮัวร์) คำศัพท์ภาษาฝรั่งเศสที่มักถูกหยิบยกขึ้นมากล่าวอ้างในโลกของไวน์จนดูขลังและเข้าถึงยาก ทว่า สำหรับ ธนพงศ์ แล้ว เขาได้ถอดรหัสความซับซ้อนนี้ออกมาเป็นสมการที่เรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยความหมาย มันไม่ใช่เพียงเรื่องของดินฟ้าอากาศ หากแต่คือบทสนทนาระหว่าง ‘ธรรมชาติ’ และ ‘มนุษย์’
“Terroir จริง ๆ มี 2 ปัจจัยนะครับ... Natural Factor กับ Human Factor... รวมกันคือ Terroir ครับ เป็นทั้งการผสมผสานของ humanity และ natural”
ในมุมมองของเขา ปัจจัยทางธรรมชาติอย่างดิน หิน ภูมิอากาศ หรือความลาดชันของพื้นที่ คือสิ่งที่มนุษย์ไม่อาจควบคุม เปรียบเสมือนผืนผ้าใบที่ถูกกำหนดมาแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้ไวน์แต่ละขวดมีวิญญาณ คือ ‘ปัจจัยทางมนุษย์’ การตัดสินใจว่าจะเก็บเกี่ยวเมื่อใด การหมักบ่มด้วยวิธีไหน เมื่อสองสิ่งนี้มาบรรจบกันอย่างพอดี จึงเกิดเป็นอัตลักษณ์ที่ไม่สามารถลอกเลียนได้ เป็นรอยนิ้วมือของธรรมชาติที่ประทับลงในน้ำองุ่น
ทว่า ความท้าทายที่แท้จริงของซอมเมอลิเยร์ในดินแดนสุวรรณภูมิ มิใช่เพียงการเข้าใจไวน์จากโลกตะวันตก แต่คือการผสานมันเข้ากับ ‘อาหารไทย’ ที่ขึ้นชื่อเรื่องความจัดจ้านและซับซ้อนของรสชาติ ธนพงศ์ ยอมรับว่าอาหารไทยคือโจทย์หินที่ท้าทายตำราไวน์สากล ด้วยรสสัมผัสที่ระดมมาทั้งเปรี้ยว หวาน มัน เค็ม และเผ็ดร้อน
“ถ้าไปกับไวน์แดงเนี่ย อาจจะทำให้ความเป็นแทนนินขม... เพราะฉะนั้นส่วนมากเลยนะ สเตอริโอไทป์ของอาหารไทย ผมแนะนำเป็นยังมองว่าเป็นไวน์ขาวอยู่ครับ เป็นไวน์ขาวที่มีความ Off-dry หรือว่ากึ่งหวานกึ่งเปรี้ยว”
เขาอธิบายถึงศาสตร์การจับคู่นี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า ความหวานในไวน์ (Sweetness) ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงให้รสหวาน แต่ทำหน้าที่เป็น ‘โครงสร้าง’ ที่ช่วยพยุงรสชาติของอาหารไทยให้เด่นชัดขึ้น ในขณะที่ความสดชื่นของกรด (Acidity) จะทำหน้าที่ตัดความเผ็ดร้อน สร้างความกลมกล่อมในปาก การเลือกไวน์อย่าง Riesling จึงเปรียบเสมือนการเลือกคู่เต้นรำที่รู้ใจ ที่สามารถประคับประคองท่วงทำนองอันเร่าร้อนของเครื่องแกงไทยให้ดำเนินไปได้อย่างสง่างาม
และเมื่อถูกถามถึงคำถามนิรันดร์กาลว่า “ไวน์ที่ดีคืออะไร?” ธนพงศ์ไม่ได้ตอบด้วยชื่อชั้นของไร่ไวน์ระดับโลก หรือป้ายราคาที่สูงลิบลิ่ว หากแต่ตอบด้วยคำสั้น ๆ ที่เป็นหัวใจของสรรพสิ่ง นั่นคือ ‘สมดุล’ (Balance)
“ไวน์ที่มีสมดุลดี... ต้องมี 5 ปัจจัยนี้นะครับ อยู่ใน... อยู่ตรงกลางพอดี... ถ้าไม่มีอะไร over power นั่นคือไวน์สมดุล”
บ้านหลังหนึ่งจะแข็งแรงได้ฉันใด ไวน์ที่ดีก็ต้องมีโครงสร้างที่มั่นคงฉันนั้น ธนพงศ์ขยายความถึง 5 เสาหลักแห่งสมดุล: บอดี้ (Body), แอลกอฮอล์ (Alcohol), กรด (Acidity), แทนนิน (Tannin) และ กลิ่นผลไม้ (Fruit) หากองค์ประกอบเหล่านี้ประสานเสียงกันอย่างกลมกลืน ไม่มีสิ่งใดโดดเด่นข่มเหงสิ่งอื่น และทิ้งรสสัมผัส (Aftertaste) ที่ยาวนานไว้ในความทรงจำ นั่นแหละคือไวน์ที่ดี
นี่คือสุนทรียะแห่งความพอดี ที่ไม่ได้วัดกันที่มูลค่า หากแต่วัดกันที่ความรู้สึกอิ่มเอมที่หลงเหลืออยู่หลังจากจิบสุดท้ายผ่านพ้น
เมื่อบทเพลงดำเนินมาถึงท่อนสุดท้าย มิใช่หมายความถึงการจบสิ้น หากแต่เป็นการส่งต่อความกังวานให้ดังก้องต่อไปในความทรงจำ สำหรับ ธนพงศ์ วงศ์สุวรรณ การก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง Thailand Best Sommelier 2025 ไม่ใช่จุดสูงสุดของยอดเขาที่เขาต้องการพิชิตเพื่อยืนอยู่เพียงลำพัง หากแต่เป็นฐานที่มั่นใหม่ที่ทำให้เขามองเห็นทิวทัศน์กว้างไกลขึ้น และตระหนักถึงภารกิจที่ยิ่งใหญ่กว่าการรินไวน์ใส่แก้ว
ความภาคภูมิใจในวันนี้ของเขา ไม่ได้ผูกติดอยู่กับรางวัลส่วนตัว หากแต่ยึดโยงอยู่กับ ‘รากเหง้า’ และ ‘ตัวตน’ในฐานะคนไทย การได้ทำงานภายใต้ร่มเงาของ โรงแรมดุสิตธานี ซึ่งเป็นแบรนด์โรงแรมระดับตำนานของไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ (กับร้านอาหาร Cannubi by Umberto Bombana ที่เพิ่งได้รับการประดับมิชลิน 1 ดาว ร้านอาหารใหม่ ประจำปี 2569) คือเกียรติยศที่เขายึดถือ เขาปรารถนาที่จะใช้เวทีนี้แสดงศักยภาพของซอมเมอลิเยร์เลือดไทย ให้เป็นที่ประจักษ์ในระดับสากล ภายใต้ยุคสมัยใหม่ (New Era) ของดุสิตธานี
ทว่า เป้าหมายที่แท้จริงที่ซ่อนอยู่ภายใต้ชุดสูทอันเรียบกริบ คือปณิธานของ ‘ผู้ให้’ เขาไม่ได้มองเห็นเพียงความสำเร็จของตนเอง แต่มองไกลไปถึง ‘น้อง ๆ รุ่นใหม่’ ในวงการ ธนพงศ์ตั้งใจที่จะอุทิศตนเพื่อสนับสนุน สมาคมซอมเมอลิเยร์อาชีพแห่งประเทศไทย (PSAT) โดยอาสาเป็นตัวกลางในการนำความรู้และประสบการณ์ที่สั่งสมมาถ่ายทอดสู่เยาวชนในเมืองท่องเที่ยวต่าง ๆ ทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นภูเก็ต เชียงใหม่ หรือกระบี่ เพื่อขับเคลื่อนวงการไวน์ไทยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและทัดเทียมอารยประเทศ
“อยากให้น้อง ๆ... พยายาม อย่ายอมแพ้... เป็นซอมเมอลิเยร์ ไม่ใช่ว่าดื่มสนุกอย่างเดียว... เราจะต้องศึกษานะครับ... ต้องมีระเบียบวินัย”
เมื่อบทสนทนาเดินทางเข้าสู่พื้นที่ส่วนตัวที่สุด เราถามเขาถึง ‘ไวน์’ ที่สะท้อนตัวตนของเขาได้ดีที่สุด เขาเลือก ‘Barolo’ (บาร์โรโล) ราชาแห่งไวน์แดงอิตาลี มิใช่เพียงเพราะมันสอดคล้องกับร้านอาหารที่เขาทำงานอยู่ แต่เพราะบาร์โรโลคือจุดบรรจบของโลกสองใบที่เขาหลงใหล มีความนุ่มนวลละเมียดละไมดุจไวน์เบอร์กันดี (Burgundy) แต่ในขณะเดียวกันก็ซ่อนโครงสร้างที่หนักแน่นและแข็งแกร่งดุจไวน์บอร์โดซ์ (Bordeaux) เอาไว้ เปรียบดั่งตัวตนของเขาที่มีทั้งความอ่อนน้อมถ่อมตนของผู้ให้บริการ และความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวของผู้ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา
และหากถามว่า เขาอยากจะเปิดไวน์ขวดพิเศษนี้ดื่มกับใครมากที่สุด คำตอบกลับไม่ใช่คนดังระดับโลก หากแต่เป็น ‘ทอมมี่’ เด็กฝึกงานชาวสวิสคนหนึ่ง
เรื่องราวของทอมมี่ คือหลักฐานเชิงประจักษ์ของพลังแห่งการส่งต่อ จากเด็กการโรงแรมธรรมดาที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการทำงานใกล้ชิดกับ ธนพงศ์ จนตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางชีวิตหันมาศึกษาศาสตร์แห่งไวน์อย่างจริงจังและกลายเป็นซอมเมอลิเยร์ในที่สุด ในวันที่ธนพงศ์ได้รับรางวัล ทอมมี่คือคนแรก ๆ ที่โทรมาแสดงความยินดีข้ามทวีป สำหรับธนพงศ์แล้ว การได้ดื่มไวน์กับผลผลิตที่เขาร่วมบ่มเพาะ ย่อมมีรสชาติหอมหวานยิ่งกว่าไวน์วินเทจใด ๆ
ในท้ายที่สุด เมื่อตะกอนแห่งความคิดตกผลึก คำถามสุดท้ายที่ว่า “ไวน์ให้อะไรกับชีวิต?” เราจึงได้รับคำตอบที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง
“หนึ่งคือให้อาชีพ... สองก็คือให้ความสุข... ผมรู้สึกว่าผมได้ใช้ประสบการณ์ที่ผมมี ไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง การเรียนรู้... ที่มันมาลิงก์กันหมดกับไวน์แก้วนี้ ทำให้ผมรู้สึกว่าทุกวันผมทำงานแล้วผมมีความสุขครับ”
สำหรับ หมึก - ธนพงศ์ วงศ์สุวรรณ ไวน์จึงไม่ใช่แค่เครื่องดื่มในแก้วก้านยาว แต่คือ ‘ชีวิต’ ที่รินไหล เชื่อมโยงอดีต ปัจจุบัน และอนาคตเข้าด้วยกัน มันคือศิลปะที่ทำให้เขารู้จักโลก และที่สำคัญที่สุด... ทำให้เขารู้จักตัวเอง
สัมภาษณ์: อนันต์ ลือประดิษฐ์
ภาพ: จุลละดิศ อ่อนละมุน